“ซีพีเอฟ” โชว์ศักยภาพเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ซีพีเอฟ” โชว์ใช้พลังงานหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 5 แสนตันในปี 64 เดินหน้าเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีก 7 หมื่นตันคาร์บอน มุ่งพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” กล่าวในงานสัมนา "Go Green" จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ วันนี้ (17 มี.ค.)ว่าซีพีเอฟเป็นบริษัทผลิตอาหารระดับโลกโดยมียอดขายในปี 2564 ที่ผ่านมากว่า 5.12 แสนล้านบาท โดยมีการส่งออกสินค้า และมีการทำธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศ
ทั้งนี้จากประสบการณ์การทำธุรกิจและส่งออกอาหารในต่างประเทศ หลายประเทศเช่น ญี่ปุ่น และในยุโรปให้ความสำคัญในเรื่องปัจจัยสิ่งแวดล้อมมาก และนำมากำหนดเป็นกติกาและมาตรฐานทางการค้าทำให้การส่งออกอาหารของซีพีเอฟ ให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานนี้มาโดยตลอด และนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนความยั่งยืนของซีพีเอฟ 3 ข้อได้แก่ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทนำไปเชื่อโยงกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDG Goal) ทั้ง 17 ข้อ
สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบริษัทสามารถที่จะลดลงได้ต่อเนื่อง และในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 5 แสนตัน เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 48 ล้านต้น และในแผนการขับเคลื่อนได้นำมาใช้กับการดำเนินธุรกิจจริงเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ
โดยนโยบายการรับซื้อข้าวโพด 2.17 ล้านตันต่อปี ต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าต้องไม่มาจากพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า
ในส่วนของการจัดหาพลังงานเพื่อความยั่งยืน โดยซีพีเอฟ มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนสำคัญในการผลิตพลังงาน โดยใช้พลังงานชนิดนี้กว่า 27% ของเชื้อเพลิงทั้งหมดคิดเป็นประมาณ 3.07 ล้านกิกะจูล ถือว่าใช้พลังงานนี้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ประกอบไปด้วย ชีวมวล 65% ก๊าซชีวภาพ 33% และแสงอาทิตย์ 2%
และในปีนี้วางแผนจะเลิกใช้พลังงานถ่านหินทั้งหมดในโรงงานทุกแห่ง ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มอีก 7 หมื่นตัน นอกจากนั้น ทั้งหมด โดยบริษัทลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการปลูกป่าเพิ่มเติม และการนำน้ำที่ใช้แล้วไปบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 40% ทำให้ลดการใช้ทรัพยากรน้ำลงไปได้มาก