MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 14-18 มีนาคม 2565
เงินบาทผันผวน ขณะที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน - เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือน ก่อนฟื้นตัวขึ้นบางส่วนตามแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังผลการประชุมเฟดเป็นไปตามตลาดคาด
• หุ้นไทยร่วงลงช่วงแรก ก่อนจะดีดกลับมาได้ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ รับแรงซื้อต่างชาติและความชัดเจนของผลการประชุมเฟด
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือน ก่อนดีดตัวกลับช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติและการอ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียท่ามกลางความกังวลต่อสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งหนุนเงินดอลลาร์ฯ ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายทำกำไร หลังผลการประชุมเฟดสอดคล้องกับที่ตลาดคาด โดยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปที่กรอบ 0.25-0.50% และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องใน 6 รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ กรอบการแข็งค่าของเงินบาทจำกัดลงช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากตลาดรอติดตามวิกฤตยูเครนอย่างใกล้ชิด
ในวันศุกร์ (18 มี.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 33.55 ช่วงต้นสัปดาห์) เทียบกับระดับ 33.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 มี.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 14-18 มี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยรวม 1.11 หมื่นล้านบาท แต่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW ในตลาดพันธบัตร 8.37 พันล้านบาท (ขายสุทธิ 6.12 พันล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 2.25 พันล้านบาท)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (21-25 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ตัวเลขส่งออกไทยเดือนก.พ. และสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. ยอดขายบ้านที่รอปิดการขายและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน ดัชนี PMI เดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ของอังกฤษ ยูโรโซน และสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. ของอังกฤษ
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงในช่วงแรกท่ามกลางปัจจัยลบ อาทิ วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ การประกาศล็อกดาวน์ของจีนในหลายเมืองเพื่อสกัดยอดผู้ป่วยโควิดที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรวมถึงผลการประชุมเฟดซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์และมีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ กระนั้น ยอดผู้ป่วยโควิดในไทยที่พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่จำกัดกรอบการปรับขึ้นของหุ้นไทยช่วงปลายสัปดาห์
ในวันศุกร์ (18 มี.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,678.51 จุด เพิ่มขึ้น 1.24% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 84,357.68 ล้านบาท ลดลง 26.19% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.46% มาปิดที่ 621.38 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (21-25 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,665 และ 1,650 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,690 และ 1,700 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ตัวเลขส่งออกเดือนก.พ. ของไทย ทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. ดัชนี PMI เดือนมี.ค. (เบื้องต้น) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนมี.ค. ของจีน รวมถึงดัชนี PMI เดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซนและญี่ปุ่น