MINT ปิดการขายหุ้นกู้ 3 ชุด รวม 7 พันล้าน ตามเป้า นักลงทุนรายย่อยตอบรับคึกคัก
MINT ประสบความสำเร็จปิดการขายหุ้นกู้ MINT e-Bond 3 ชุด รวม 7,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย นักลงทุนรายย่อยตอบรับคึกคัก มั่นใจผลการดำเนินงานปี 65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการเสนอขายหุ้นกู้ 'MINT e-Bond' ให้แก่นักลงทุนรายย่อย จำนวน 3 ชุด มูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 มีอายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 (หุ้นกู้ดิจิทัล) อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
เมื่อวันที่ 21 – 23 มีนาคม 2565 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่งที่เป็นพันธมิตรร่วมในการเสนอขายครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) รวมถึงวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ในแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง' ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับการจองซื้อหุ้นกู้ชุดที่ 3
การเสนอขายหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกของบริษัทเอกชนในประเทศไทยร่วมกับสถาบันการเงินพันธมิตรทั้ง 5 แห่งเสนอขายหุ้นกู้แบบไร้ใบหุ้นกู้ (Scripless) 100% แก่นักลงทุนทั่วไป เพื่อลดการใช้กระดาษสอดคล้องกับเทรนด์รักษ์โลก พร้อมทั้งสนับสนุนนวัตวรรมตลาดทุนในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนที่ต้องการเปลี่ยนเป็นใบหุ้นกู้สามารถแจ้งกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดพอร์ตหรือนายทะเบียนหุ้นกู้ได้ (มีค่าธรรมเนียม)
นอกจากนี้ยังเปิดมิติใหม่ของการเสนอขายหุ้นกู้ โดยเป็นครั้งแรกที่มอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับส่วนลด 10% จากราคาปกติ (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) เมื่อใช้บริการร้านอาหารในเครือของบริษัทฯ ที่ร่วมรายการ 6 แบรนด์ ได้แก่ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เบอร์เกอร์คิงส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (ยกเว้นสาขาในสนามบิน) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไปตลอดอายุหุ้นกู้ที่ลงทุนโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
"ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ จึงตัดสินใจเข้าลงทุนในหุ้นกู้ MINT e-Bond เพื่อรับผลตอบแทนจากการจ่ายดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอและมีความมั่นคง โดยบริษัทฯ เตรียมนำเงินไปชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนมีนาคม 2565 รวมถึงช่วยให้บริษัทฯ บริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นพันธกิจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้ร่วมลงนามกับสถาบันการเงินพันธมิตรทั้ง 5 แห่งที่ร่วมจำหน่ายหุ้นกู้ในสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยนำผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรมนุษย์ และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทฯ มาใช้เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน "ESG-Linked Cross Currency Swap" ที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ เป็นการตอกย้ำการให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
โดยมีหลักเกณฑ์พิจารณา 3 เรื่อง คือ 1.ผลดัชนีความยั่งยืดาวโจนส์ (DJSI) 2. ทรัพยากรมนุษย์ได้รับการพัฒนาและสนับสนุน และ3. ความสามารถในการลดปริมาณการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียว ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดรับกับบริบทสากลที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมเพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
นายชัยพัฒน์ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และเชื่อว่าจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทดีขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2564 สะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจที่ฟื้นตัวในทุกภูมิภาค จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
โดยผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปมีการเติบโตที่ดี โรงแรมในมัลดีฟส์สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึง 38% โรงแรมในออสเตรเลียมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น และโรงแรมในไทยมีผลการดำเนินงานเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ส่วนธุรกิจร้านอาหารในจีนมียอดขายของสาขาเดิมในเดือนมกราคมที่ผ่านมากลับมาเป็นบวกและร้านอาหารในไทยได้รับผลดีจากการยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิว รวมถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นผลักดันรายได้ทุกช่องทางและบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ มองว่าในปี 2565 ธุรกิจของบริษัทฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดยธุรกิจโรงแรมทั่วโลกจะกลับมาเติบโตอีกครั้งจากการกระจายวัคซีนทั่วโลก การผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ การยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในบางประเทศ และกำหนดให้เป็นโรคประจำถิ่น