บล.ไทยพาณิชย์ คาดเศรษฐกิจเสี่ยงภาวะ stagflation คัด 5 หุ้นสู้เศรษฐกิจ
บล.ไทยพาณิชย์ ประเมิน วัฏจักรเศรษฐกิจโลกและไทยด้เปลี่ยนจากภาวะ reflation เข้าสู่ภาวะ stagflation ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ากรอบเคลื่อนไหวที่ 1550-1780 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและมาร์จิ้นมีเสถียรภาพ
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)กล่าวว่าต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลทำให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตลงและทำให้เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้วัฎจักรเศรษฐกิจเปลี่ยนจากภาวะ reflation เข้าสู่ภาวะ stagflation
ทั้งนี้แม้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2022 จะมีมากขึ้น แต่จะเกิดภาวะถดถอยที่ไม่รุนแรงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันไม่ได้มีความไม่สมดุลมากจนต้องแก้ไขให้เกิดความสมดุลควบคู่ไปกับการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางและการเปิดประเทศเป้า SET Index ปี 2022 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1660 จุด เข้าซื้อที่ 1550 - 1600 จุด ขณะที่ระดับขายทำกำไรอยู่ที่สูงกว่า 1780 จุด
โดยคาดว่า SET จะปรับฐานเล็กน้อยใน 2Q22 เพื่อซึมซับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ขณะที่ 2H22 จะมีโมเมนตั้มที่ดีขึ้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย ประกอบกับฐานต่ำของปีก่อนมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ Sell in May โดยการย่อตัวลงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้าง position เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะเกิดภาวะ quasi - reflation ใน 2H22
ด้านเศรษฐกิจไทยผลกระทบจากวิกฤตรัสเซียโดยตรงอาจไม่มากนักแต่ผลกระทบโดยอ้อมผ่านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับเงินเฟ้อและนโยบายการเงินมากกว่าวิกฤตพลังงานทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านนโยบายที่อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.63% ในขณะที่ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ย่อมมีมากขึ้นส่วนความเสี่ยงด้านการส่งผ่านทางการเงินมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้แต่ความเสี่ยงในการโอนย้ายและการปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุนอาจต้องใช้เวลาในการจัดการ SCBS มองว่าหุ้นเชิงรับจะปรับตัว outperform ได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นพลังงานต้นน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง โดยยังคงชอบหุ้นคุณภาพที่มีค่า beta ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
กลยุทธ์การลงทุนมองภาพรวมปี2022 เน้นไปที่ธีมมหภาคและจุลภาคประกอบด้วย1) หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง (มาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ) 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ 3) หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผล และ 4) หุ้นคุณภาพให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเชิงรับเพื่อยึดหลักความระมัดระวังในช่วงที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
โดยเชื่อว่าหุ้น domestic ที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลแข็งแรงน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลกซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหนักกว่าหุ้น domestic นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูง โดยหุ้นเด่นใน 2Q22 คือ AOT BDMS CRC GULF และ PTTEP
สรุปประเด็นการลงทุนของหุ้นรายตัว
- AOT :เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้นจากแผนเดินหน้าสู่การเปิดประเทศ ขณะที่ Valuation น่าสนใจหลังราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าก่อนเกิด COVID-19 อยู่ 12%
- BDMS :ทนทานความผันผวนของตลาดได้ดีและมีพื้นฐานแกร่ง โดยปี 65 คาดกำไรเติบโต 21%YoY จากจำนวนผู้ป่วยทั้งไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย
- CRC :คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในปี 2565 จากยอดขายค้าปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว การขยายสาขาเชิงรุก และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและไม่มีการล็อกดาวน์
- GULF :แนวโน้มกำไรขยายตัวต่อเนื่องจากกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่ IPP ที่มีความเสี่ยงต่ำด้านต้นทุนพลังงาน
และการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจดิจิทัล
- PTTEP :ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ Brent +5.3%DoD WTI +5.2%DoD หลังตลาดกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัวจากการระงับส่งออกน้ำมันของบริษัท CPC ในคาซัคสถานซึ่งเสียหายจากพายุ