GULF กางแผน8ปีดันรายได้เฉียด2แสนล้าน
“กัลฟ์” กางแผนธุรกิจ 8 ปี (ปี63-70) ตั้งเป้ารายได้เฉียด 2 แสนล้าน จากปี 63 อยู่ที่ 3.52 หมื่นล้าน โตเฉลี่ย 27.5% พร้อมมุ่งลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เผยในปี 73 กำลังผลิตมากกว่า 7 พันเมกะวัตต์ สัดส่วนรายได้มากกว่า 30% แย้มปีนี้คาดมีโอกาสทำรายได้ทะลุเป้าที่วางไว้โต 80%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า สำหรับแผนการสร้างการเติบโตในแง่ของรายได้บริษัทระยะ 8 ปีข้างหน้า (ปี 2563-2570) คาดว่าจะมีรายได้แตะ 196,000 ล้านบาท จากปี 2563 อยู่ที่ 35,269 ล้านบาท และปี 2564 ที่ 52,870 ล้านบาท แต่ละปีจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 27.5%
โดย รายได้ที่เติบโตต่อเนื่องโดยหลักๆ มาจาก 1. โครงการโรงไฟฟ้า ได้แก่ โครงการ IPP กำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ , โครงการ IPP หินกอง , โครงการบูรพาพาวเวอร์ 2. โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ได้แก่ โครงการมาบตาพุด , โครงการแหลมฉบัง , โครงการมอเตอร์เวย์ , โครงการโซลาร์รูฟท็อป และ 3. โครงการไฟแนนซ์เชียลโปรเจกต์การซื้อกิจการ (M&A) ที่กำลังพิจารณาอยู่
พร้อมกับ บริษัทวางงบลงทุนปี 5 ปีข้างหน้า (ปี2565-2569) จำนวน 120,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน สัดส่วน 60% , ธุรกิจโรงไฟฟ้า สัดส่วน 20% , ธุรกิจดิจิทัลแอนด์อินเวสเมนต์ สัดส่วน 10% , ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค สัดส่วน 5% และธุรกิจก๊าซ สัดส่วน 5%
สำหรับการลงทุนส่วนใหญ่เน้นไปที่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนสนับสนุนการเติบโตเป้าหมายระยะยาวของบริษัทที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในปี 2573 มีกำลังผลิตมากกว่า 7,000 เมกะวัตต์ และเพิ่มสัดส่วนรายได้ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในปี 73 จากไตรมาส 2 ปี 2565 มีกำลังการผลิตราว 1,000 เมกะวัตต์
นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า สำหรับในปี 2565 ยังมีโอกาสที่จะมีรายได้เติบโตมากกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้เติบโตราว 80% จากปีก่อน ถ้าหากสามารถปิดดีลการซื้อกิจการเข้ามาได้เพิ่ม ซึ่งในเป้าหมายรายได้ ปีนี้เติบโตที่ 80% ยังไม่รวมดีลซื้อกิจการ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้นถือว่าเป็นผลดีกับบริษัท
สำหรับ ดีลการซื้อกิจการธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และ ก๊าซธรรมชาติ ในต่างประเทศ ที่บริษัทกำลังศึกษาและเจรจาอยู่หลายดีล เป็นโครงการขนาดใหญ่ คาดว่าจะสามารถปิดดีลได้อย่างน้อย 1 ดีลภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือเป็นดีลที่สร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดี ซึ่ง สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
สำหรับการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ ยังสามารถทำได้ตามแผน และคาดว่าครึ่งปีหลัง จะมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นชัดเจน หากเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 43,764.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,925.29 ล้านบาท
เนื่องจาก บริษัทรับรู้กำไรเพิ่มหลังจากเข้าไปถือหุ้นร่วม 50% ใน Gulf Gunkul Corporation ซึ่งมีโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 170 เมกะวัตต์ ที่คาดจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที ตั้งแต่สิ้นเดือนก.ย. 2565 เป็นต้นไป
รวมถึงไตรมาส 4 ปี 65 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่จะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ในไตรมาส 4 มากขึ้น และโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) จะดำเนินการ COD ในเดือนต.ค. 65 ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลประกอบการบริษัทปรับตัวดีขึ้น