เปิดไฮไลท์หุ้น KLINIQ จุดรวมพล “เซียนหุ้น” บิ๊กไซส์ !
เหตุใด ! หุ้น “เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม” ไอพีโอน้องใหม่ กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 7 พ.ย. นี้ ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท จึงมีมนขลังดึงดูด “3 เซียนหุ้นดัง” เข้าลงทุนก่อนเข้า IPO
ในยุคนี้ ! มีใครไม่อยากสวยอย่าง “ซุปตาร์” กันบ้าง !! อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจความงามเติบโตอย่างก้าวกระโดด และปัจจุบันไม่ใช่แค่ “ผู้หญิง” เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินในเรื่องนี้ “ผู้ชาย” ก็มีแนวโน้มที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้กำลังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น”
สะท้อนผ่านภาพรวมตลาด Health and Beauty มีการเติบโตเป็นตัวเลข “สองหลัก” ทุกๆ ปี ! และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามเทรนด์ของสังคมในยุคปัจจุบันที่คนมีอายุมากขึ้น (Aging Society) อายุยืนขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่เกี่ยวข้องกับ “คลีนิกเวชศาสตร์ความงาม” (Aesthetics Clinic) อย่างเดียว ไม่รวมการขายครีม ปัจจุบันมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และคาด 5-7 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น “2 เท่า” หรือมูลค่า “1.2 แสนล้านบาท”
สารพัด ! “ปัจจัยบวก” ดังกล่าว กำลังจะส่งผลดีไอพีโอน้องใหม่ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ หนึ่งในผู้นำในธุรกิจเสริมความงามแบบองค์รวม (Wellness & Regenerative Medicine) ภายใต้แบรนด์ “เดอะคลีนิกค์” (THE KLINIQUE) ที่มีแบรนด์พรีเซ็นเตอร์ คือ ซุปตาร์อย่าง "อั้ม-พัชภา ไชยเชื้อ" ที่ไว้วางใจในการให้บริษัทดูแลด้านความงามมา 13 ปี และเลือกมาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์ให้กับKLINIQUE
ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคา 24.50 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Mai) 7 พ.ย.2565
ณ เวลานี้...ความสวยของหุ้น KLINIQ กลายเป็น “จุดรวมพล” ของ “นักลงทุนไซส์บิ๊ก” นอกจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ “ตระกูลทองวัฒน์” จำนวน 115,154,311 ล้านหุ้น คิดเป็น 52.35% หากอ้างอิงตามสัดส่วนการถือหุ้น KLINIQ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบรายชื่อเหล่านักลงทุนรายใหญ่ อาทิ “ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา” จำนวน 5,818,182 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.65% “คเชนทร์ เบญจกุล” จำนวน 2,424,242 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.10% “พีรนาถ โชควัฒนา” จำนวน 2,424,242 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.10%
และอีกหนึ่งความ “น่าสนใจ” คือ การถือหุ้นของ บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH เมื่อปี 2564 หลังรพ.เอกชัยมีความสนใจในธุรกิจคลินิกเสริมความงามและดูแลรักษาผิวพรรณ จึงเข้าลงทุนในบริษัทโดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจากผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 16,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 10% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท “อรสา ตั้งสัจจะพจน์” จำนวน 1,454,546 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.66% และ “ภิญญ์พิสิฐ ตั้งธำรงโรจน์” จำนวน 969,697 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.44%
อย่างไรก็ตาม การที่ EKH เข้ามาถือหุ้นของบริษัทนั้นถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในเชิงธุรกิจซึ่งกันและกัน (Business Synergy) โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งที่ทางบริษัทได้ขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2565 และแน่นอนว่าการที่ประเทศไทยกำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ “Medical Hub” ก็ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็น “โอกาส” สำหรับ KLINIQ
กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุน VI ที่ได้เข้ามาลงทุนในช่วงก่อนหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น พร้อมใจ Lock up หุ้นทั้ง 100% เป็นเวลา 6 เดือน
เป็นคนไม่ชอบเรียนวิชา “คณิตศาสตร์” แต่เวลาสอบจะได้คะแนนสูงมาก ! “นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า จุดเด่นของบริษัทคือ “เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้” การเติบโตที่ผ่านมาด้วยกระแสเงินสดในมือมาก (Cash Rich) ล้วนๆ ดังนั้น การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งนี้ !! เพื่อต้องการสร้างการเติบโตก้าวกระโดดครั้งใหม่...
สะท้อนผ่าน เงินระดมทุนเพื่อรองรับ “ขยายสาขาคลินิกผิวหนังและรูปร่าง The KLINIQUE” เฉลี่ย 6-10 สาขาต่อปี รวมถึง “ขยายพื้นที่หรือเปิดสาขาศูนย์ศัลยกรรม” เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันศูนย์ศัลยกรรมของ The KLINIQUE ที่สยามสแควร์มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมากกว่า 50% ของการให้บริการที่รองรับ และ “การเปิดศูนย์สุขภาพ” (Wellness Center) อีกทั้งยังมีการใช้พัฒนาระบบไอที และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
จากจุดเริ่มต้นธุรกิจ ! หลังเรียนจบเริ่มต้นเปิดดำเนินงานด้านคลิกเวชกรรมความงามมาเป็นระยะเวลากว่า 13 ปี !! เริ่มจากสาขาแรกที่ “สยามสแควร์” ภายใต้แบรนด์ เดอะคลีนิกค์ (The KLINIQUE) ซึ่งในช่วงแรกของการเปิดให้บริการได้เน้นที่การให้บริการรักษาโรคผิวหนังทั่วไป การรักษาสิว เจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา
จากนั้นได้เริ่มนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษาผิวหนังมาช่วย โดยการใช้เครื่องฉายแสงเลเซอร์ มาใช้ควบคู่การรักษาในรูปแบบปกติ เพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดีขึ้น และลดผลข้างเคียงของการรักษาแบบเดิมที่ใช้การกด ฉีด และกินยา ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ กลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ และเกิดอาการดื้อยา เป็นต้น
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์
โดยตลอด 13 ปี The KLINIQUE ได้มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 39 สาขา ทั้งในหัวเมืองใหญ่และหัวเมือรอง ซึ่งเป็นทำเลที่ขยายไปเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงานและผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
สำหรับรูปแบบการรักษาของ The KLINIQUE ถือเป็น “จุดเด่น” ที่สร้างความแตกต่างและเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด จากการให้ความสำคัญในเรื่องเครื่องมือ อุปกรณ์ และคุณภาพการรักษา ด้วยยาและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐฯ ซึ่งเน้นประสิทธิภาพการรักษาที่เห็นผลชัดเจน ควบคู่ไปกับการบริการที่เทียบเท่ากับการบริการของโรงแรมระดับ 5 ดาว
ด้านการคัดเลือกและอบรมบุคคลกรทางการแพทย์ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญจากการที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความสามารถ ควบคู่ไปกับการเสริมความรู้ให้กับทีมแพทย์ โดยมีการอบรมจากแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง หรือส่งไปอบรมในการกระชุมต่างประเทศ เพื่อทำให้ทีมแพทย์มีการรักษาที่ทำให้เกิดการเห็นผลที่ชัดเจน
“นายแพทย์อภิรุจ” กล่าวว่า การวางแผนธุรกิจของ KLINIQ มุ่งเป้าไปที่การเป็น Health and Beauty Destination ด้านความงามครบวงจรชั้นนำของประเทศ โดยที่จะเน้นการให้บริการ 4 ด้าน โดยที่ 2 บริการที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทกว่า 70-80% คือ การรักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง (Aesthetics Skin) การรักษาดูแลรักษารูปร่าง (Aesthetics Body)
โดยที่บริการด้าน Aesthetics Skin ถือเป็นหนึ่งบริการของ The KLINIQUE ที่สามารถสร้าง “รายได้ประจำ” (Recurring Income) ให้แก่บริษัท และบริการด้านการฉายแสงเลเซอร์เพื่อดูแลผิวพรรณ ยังเป็นโปรแกรมการรักษาที่ให้มาร์จินสูง และสามารถต่อยอดธุรกิจในการส่งผ่านลูกค้าที่มีความต้องการด้านความงามและสุขภาพ ไปยังบริการศัลยกรรม และ Wellness ที่เสริมเข้ามาอย่างครบวงจร และเชื่อว่าคนยังคงให้ความสำคัญกับความงามและสุขภาพมากขึ้น
ขณะที่ยังมีอีก 2 บริการที่จะเข้ามาเป็นการต่อยอดธุรกิจ คือ การศัลยกรรมโดยการผ่าตัด (Surgery) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 5-10% โดยเพิ่งเปิดศูนย์ศัลกรรมที่สยามสแควร์ พื้นที่ 700 ตารางเมตร จำนวน 4 ห้องผ่าตัด 4 เตียง และในช่วงปลายปี 65 เตรียมเปิดบริการด้านสุขภาพ (Wellness) โดยจะมีการเปิดศูนย์ Wellness ของ The KLINIQUE ที่สยามพารากอน ที่จะเข้ามาเสริมและต่อยอดธุรกิจ
สำหรับ รูปแบบการรักษาของ The KLINIQUE ถือเป็น “จุดเด่น” ที่สร้างความแตกต่างและเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด จากการให้ความสำคัญเรื่อง เครื่องมือ อุปกรณ์ และคุณภาพการรักษา ด้วยยาและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐ ซึ่งเน้นประสิทธิภาพการรักษาที่เห็นผลชัดเจน ควบคู่ไปกับการบริการที่เทียบเท่ากับการบริการของโรงแรมระดับ 5 ดาว
“ข้อสำคัญของเราคือ บุคคลากรและเทคโนโลยี ที่เรามีการคัดเลือก มีระบบการเทรนนิ่งที่ดี เพื่อให้การรักษาและการบริการแก่ลูกค้าที่ให้ประสบการณ์ดีที่สุด เครื่องมือแพทย์ที่เราเลือก ปกติหลาย ๆ ที่จะผ่าน อย.ประเทศไทย แต่เราเน้น อย.สหรัฐ เพราะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าลูกค้ามาใช้บริการที่เรา เมื่อเทียบกับรายอื่นจะไม่เจอยาและเครื่องมือที่ดีกว่านี้แล้ว”
ท้ายสุด “นายแพทย์อภิรุจ” บอกไว้ว่า เราต้องการเป็น Hospital Standard เราไม่ต้องการแข่งขันกับมาตรฐานคลินิกทั่วไป เราแข่งขันกับมาตรฐานของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ รวมถึงบุคคลกรต่าง ๆ ของเรา