'หุ้นเครื่องสำอาง' ถอยไป ! 'หุ้นศัลยกรรม' มาแรงกว่า !

'หุ้นเครื่องสำอาง' ถอยไป ! 'หุ้นศัลยกรรม' มาแรงกว่า !

อดีตเคยสร้างมนต์ขลังให้นักลงทุนหลงใหล ทว่าสารพันปัญหาถาโถม ลงโทษความสวยหุ้น BEAUTY-DDD ให้จืดจาง วันนี้ ! ธุรกิจรับไม่ต่อหลังมั่งคั่งเพิ่มพูน ยกให้ ‘ศัลยกรรม’ หุ้น KLINIQ-MASTER ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ตาม Capital Gain ‘เสี่ยป๋อง-โจลูกอีสาน’ ชี้พื้นฐานแกร่ง-ธุรกิจบูม !

‘สวยศัลยกรรม’ & ‘สวยเครื่องสำอาง’

หากย้อนกลับไปไม่ต่ำกว่า 10 ปี ! หากเอ่ยถึงการทำ ‘ศัลยกรรม’ ยังไม่ได้รับความนิยมหรือคนทำยังต้องปิดบัง เพราะอายที่จะบอก ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะช่วยให้ผู้หญิงสวยได้ก็ต้องยกให้ ‘เครื่องสำอาง’ สะท้อนผ่านในท้องตลาดมีแบรนด์เครื่องสำอางทั้งแบรนด์คนไทย และ แบรนด์ต่างประเทศ ที่สามารถ ‘ดูดเงิน’ในกระเป๋า ‘ผู้บริโภค’ (หญิง-ชาย) เป็นกอบเป็นกำ

สอดรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจึงเติบโตต่อเนื่อง แม้ยามภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่ธุรกิจยังมี ‘ยอดขาย-กำไร’ เติบโต และด้วยความโดดเด่นดังกล่าว ผลักดันให้ธุรกิจความงาน (เครื่องสำอาง) พาเหรดเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อหวังนำเงินระดมทุน มาสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างก้าวกระโดด หลักๆ มาจากการขยายสาขาในประเทศ และการเปิดตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะใน ‘ประเทศจีน’ 

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า !

ดังนั้น หากเอ่ยถึง ‘หุ้นเครื่องสำอาง’ เสน่ห์แรง-สตอรี่โดดเด่นของเหล่านักลงทุนย้อนหลังไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นต้องมี ‘2หุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง’ (Cosmetics) ที่เคยสร้าง ‘มนต์ขลัง’ ให้นักลงทุนหน้าเก่า-ใหม่อยากจับจองเป็นเจ้าของหุ้นมาประดับพอร์ตโฟลิโออย่าง บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ของ 'นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ' เจ้าของแบรนด์บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET) บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และเมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) และ บมจ. ดู เดย์ ดรีม หรือ DDD ของ 'สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์' เจ้าของแบรนด์ NAMU LIFE โดยมีชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ว่า SNAILWHITE

เรียกว่าหุ้นความงาม BEAUTY-DDD ประสบความสำเร็จ จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความโดดเด่นในรูปของผลประกอบการ กำไรสุทธิ รายได้ และกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) สะท้อนผ่านมาที่ความมั่งคั่งด้วย ‘มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด’ (Market Cap) ที่ยืนเหนือระดับ ‘หมื่นล้าน’ 

เพราะที่ผ่านมาถือว่าเป็นหุ้นที่เต็มไปด้วย 'สตอรี่' มีอัตราการเติบโตที่ดี ทั้งในแง่ของกำไรสุทธิรายได้ แผนขยายการลง และ ราคาหุ้น ! ทำให้หุ้นกลุ่มเครื่องสำอางเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยม และมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อย่างมากในช่วงที่ผ่านมา.. 

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า ! โดย หุ้น BEAUTY เคยทำจุดสูงสุดที่ราคา 23.70 บาท (30 เม.ย.2561) หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลงลงอย่างต่อเนื่องจนทำจุดต่ำสุดที่ราคา 1.09 บาท (24 มี.ค.2563) และ หุ้น DDD เคยทำจุดสูงสุดที่ราคา 121 บาท (12 ก.พ.2561) หลังจากนั้นราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนทำจุดต่ำสุดที่ราคา 8.55 บาท (13 มี.ค.2563) 

ขณะที่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ของ หุ้น BEAUTY ปรับตัว ‘ลดลง’ จากในอดีต โดยปี 2560 บริษัทมีมาร์เก็ตแคปในระดับ 62,456.88 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือ 4,760.77 ล้านบาท (7 ก.พ.66) เท่ากับว่ามาร์เก็ตแคปหายไปรวม 57,696.11 ล้านบาท 

ขณะที่ หุ้น DDD ปรับตัวลดลงจากในอดีตปี 2560 บริษัทมีมาร์เก็ตแคปในระดับ 27,966.00 ล้านบาท เหลือ ล้านบาท ปัจจุบันเหลือ 5,849.13 ล้านบาท (7 ก.พ.66) เท่ากับว่ามาร์เก็ตแคปหายไปรวม 22,116.87 ล้านบาท

เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (2563-2565) พบว่าผลดำเนินงานลดลงต่อเนื่อง โดย BEAUTY มี

  • ขาดทุนสุทธิ ปี 2563 : 104.88 ล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ ปี 2564 : 80.77 ล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ ปี 2565 : 232.58 ล้านบาท
  • ล่าสุดงวด 9 ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 55.36 ล้านบาท 

ด้านรายได้ BEAUTY มี

  • 786.83 ล้านบาท
  • 411.82 ล้านบาท
  • ล่าสุดงวด 9 เดือน ปี 65 รายได้ 262.34 ล้านบาท 

 

ขณะที่ หุ้น DDD มีกำไรสุทธิ 169.25 ล้านบาท 81.32 ล้านบาท และล่าสุดงวด 9 เดือน ปี 65 มีกำไรสุทธิ 39.06 ล้านบาท ตามลำดับ

ด้านรายได้ 1,490.62 ล้านบาท 1,495.00 ล้านบาท และล่าสุดงวด 9 เดือน ปี 65 รายได้ 1,214.95 ล้านบาท ตามลำดับ

 

ศัลยกรรมธุรกิจดาวรุ่ง !

ทว่าในยุคนี้ !! หากเอ่ยถึง ‘ศัลยกรรม’ เป็นเรื่องแสนธรรมดาและสามารถเข้าถึงได้อย่างแพร่หลายแล้ว และมีใครไม่อยากสวยอย่าง ‘ซุปตาร์’ กันบ้าง สะท้อนผ่านคลินิกเสริมความงามเปิดใหม่ๆ ทั่วภูมิภาคของไทย ทำให้ทุกคนสามารถเดินเข้าไปศัลยกรรมกันได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ตลาดอุตสาหกรรมความงามแนวโน้มเติบโตสูง และไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศชั้นนำด้านศัลยกรรมตกแต่งของโลก มีสถานบริการที่ได้มาตรฐาน บุคลากรเชี่ยวชาญสูง ให้บริการระดับโลก พร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านความงามได้ในอนาคต 

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า !

เมื่ออุตสาหกรรมความงามด้วย ‘เทคโนโลยีใหม่’ หรือด้วย ‘มือแพทย์’ ที่กำลังเป็นเทรนด์ของทั่วโลก ตามสังคมในยุคปัจจุบันที่คนมีอายุมากขึ้น (Aging Society) ส่งผลให้ต้องการรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดี ดังนั้นภาพของธุรกิจเกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมจึงมีสตอรี่โดดเด่นทันที 

สะท้อนผ่าน 2 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย ที่ประสบความสำเร็จหลังนำบริษัทเข้าระดมทุน บมจ. เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม หรือ KLINIQ ประกอบธุรกิจ คลินิกเวชกรรมด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ ‘เดอะคลีนิกค์’ (THE KLINIQUE) ที่มีแบรนด์พรีเซ็นเตอร์ คือ ซุปตาร์อย่าง ‘อั้ม-พัชภา ไชยเชื้อ’ ที่ไว้วางใจในการให้บริษัทดูแลด้านความงามมา 13 ปี ของ ‘นายแพทย์ อภิรุจ ทองวัฒน์’ ผู้ก่อตั้งและหุ้นใหญ่ สัดส่วน 32.01% 

และ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ MASTER ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรภายใต้ชื่อ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช’ ซึ่งให้บริการศัลยกรรมได้หลากหลาย ของ ‘นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล’ ผู้ก่อตั้งและหุ้นใหญ่ สัดส่วน 49.22 % 

โดย หุ้น KLINIQ ทำราคาไปจุดสูงสุดที่ 45.75 บาท (10 พ.ย.65) และราคาต่ำสุด 31.50 บาท จากราคาไอพีโอ 24.50 บาท และมีมาร์เก็ตแคประดับ ‘พันล้าน’ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 8,360.00 ล้านบาท ขณะที่ หุ้น MASTER ทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 85.50 บาท (7 ก.พ.66) และราคาต่ำสุด 61.25 บาท (25 ม.ค.66) จากราคาไอพีโอ 46 บาท และมีมาร์เก็ตแคประดับ ‘หมื่นล้าน’ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 19,680.00 ล้านบาท 

ขณะที่ KLINIQ มีผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง (2563-2565) มีกำไรสุทธิ 144.60 ล้านบาท 129.26 ล้านบาท และงวด 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 144.75 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 1,000.55 ล้านบาท 952.14 ล้านบาท และงวด 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 1,151.93 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ MASTER มีกำไรสุทธิ 128.55 ล้านบาท 162.80 ล้านบาท และงวด 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 222.22 ล้านบาท ส่วนรายได้ 615.28 ล้านบาท 690.16 ล้านบาท และงวด 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 1,016.51 ล้านบาท ตามลำดับ 

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า !

‘กรุงเทพธุรกิจ BizWeek’ พบว่าความสวยของหุ้น KLINIQ และ หุ้น MASTER กลายเป็น ‘จุดรวมพล’ ของ ‘นักลงทุนไซส์บิ๊ก’ หากอ้างอิงตามสัดส่วนการถือหุ้น KLINIQ และ หุ้น MASTER ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

พบรายชื่อเหล่านักลงทุนรายใหญ่หุ้น KLINIQ อาทิ

  • ‘ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา’ สัดส่วน 2.65%
  • ‘เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์’ สัดส่วน 1.14%
  • ‘คเชนทร์ เบญจกุล’ สัดส่วน 1.10%
  • ‘พีรนาถ โชควัฒนา’ สัดส่วน 1.10% (ตัวเลขปิดสมุด 2 พ.ย.65) 

หุ้น MASTER พบนักลงทุนรายใหญ่และนักธุรกิจ อาทิ

  • ‘สุขสันต์ ยศะสินธุ์’ สัดส่วน 2.10%
  • ‘ภาสิตา ลี้สกุล’ สัดส่วน 2.08%
  • ‘วีรชัย มั่นสินธร’ สัดส่วน 1.92%
  • ‘ปรีชา ส่งวัฒนา’ สัดส่วน 1.92%
  • ‘สุระ คณิตทวีกุล’ สัดส่วน 1.53%
  • ‘นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี’ สัดส่วน 1.51%
  • ‘ดร.ไพบูลย์ เสรีวัฒนา’ สัดส่วน 1.29% (ตัวเลขปิดสมุด 23 ม.ค.66) 

 

สองนักลงทุนรายใหญ่ ยก MASTER พื้นฐานเด่น 

‘เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง’ นักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลัก ‘พันล้าน’ บอกว่า ได้รับจัดสรรหุ้นไอพีโอ MASTER มาไม่มาก ซึ่งความตั้งใจจะถือลงทุนในระยะยาว เพราะส่วนตัวมองว่าธุรกิจของ MASTER เป็นธุรกิจเทรนด์ของโลก และอนาคตเติบโตสูง และด้วยสุดเด่นเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมที่มีการทำศัลยกรรมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า !

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง

 

‘โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง’ อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ VI บอกว่า ตนเองได้รับจัดสรรหุ้นไอพีโอ MASTER มาเล็กน้อย ซึ่งจากการดูพื้นฐานธุรกิจถือว่าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ของโลก สอดคล้องกับปัจจุบันคนกล้าที่จะทำศัลยกรรมมากขึ้น เนื่องจากต้องการดูแลตัวเองให้ดี ตามอายุที่ยืนยาวขึ้น

\'หุ้นเครื่องสำอาง\' ถอยไป ! \'หุ้นศัลยกรรม\' มาแรงกว่า !