สารพัดปัญหาทัวร์ 'อั้งยี่-ศูนย์เหรียญ-วงจรปิด' ส่อป่วนท่องเที่ยวไทย

สารพัดปัญหาทัวร์ 'อั้งยี่-ศูนย์เหรียญ-วงจรปิด' ส่อป่วนท่องเที่ยวไทย

ซัพพลายเชนภาคท่องเที่ยวหลังโควิดส่อซ้ำรอยวงจรเดิม เอกชนพบสัญญาณ "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ฟื้น ป่วนตลาด "จีนเที่ยวไทย" ขุมทรัพย์ใหญ่ 5.3 แสนล้าน "กระทรวงท่องเที่ยว" ประสานทางการจีน คุมคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง ด้าน "ททท." ยันไร้กังวล "ธุรกิจท่องเที่ยววงจรปิด" หากแข่งขันตามกฎหมาย

เมื่อภาคท่องเที่ยวไทยกลับคืนสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของตลาดจีนหลังประกาศเปิดประเทศ มีการอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้ในลักษณะกรุ๊ปทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.2566 เป็นต้นไป ส่งผลให้ระบบซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทัวร์ตื่นตัว พร้อมกลับมาช่วงชิงขุมทรัพย์ตลาดจีนเที่ยวไทย ซึ่งเคยครองบัลลังก์อันดับ 1 สร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาท จากฐานนักท่องเที่ยวจีน 11 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 นำมาสู่ความกังวลว่าอาจเกิดปัญหาเก่าซ้ำรอย เช่น ทัวร์ศูนย์เหรียญ (ทัวร์ที่มีการขายในราคาต่ำกว่าต้นทุน) รวมถึงปัญหาใหม่อย่าง ทัวร์อั้งยี่ (ทัวร์ที่ทำกันเฉพาะกลุ่มชาวจีนแบบผูกขาด)

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ผู้ประกอบการบริษัททัวร์เริ่มพบสัญญาณการตั้งราคาขายแพ็กเกจทัวร์ในราคาต่ำ โดยมีสมาชิกสมาคมพูดถึงประเด็นทัวร์ศูนย์เหรียญกันบ้างแล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ประกอบการได้รับผลกระทบโดยตรง ส่วนหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมากับทัวร์ยังมีจำนวนน้อย

“ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ เข้าใจโครงสร้างการออกแบบแพ็กเกจทัวร์ศูนย์เหรียญ พร้อมสื่อสารทำความเข้าใจไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ นักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการไทย และอยากให้นักท่องเที่ยวเข้าใจว่าทัวร์ที่ดี ราคาไม่ถูก เมื่อบริษัททัวร์พาไปทานอาหารดีๆ ราคาทัวร์ก็ย่อมสูงขึ้น ปัจจุบันบริษัททัวร์ในประเทศจีนหลายแห่งยังไม่กลับมาเปิดกิจการ หรือที่กลับมาแล้วก็ไม่สามารถจัดหาตั๋วเครื่องบินเพื่อจัดทำแพ็กเกจทัวร์ได้ เพราะบริษัททัวร์รายใหญ่ของจีนได้เหมาตั๋วเครื่องบินไปก่อนหน้าแล้ว”

สำหรับสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยในไตรมาสแรกปีนี้  พบว่ามีนักท่องเที่ยวจีน 5 แสนคน จากภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยกว่า 6 ล้านคน มั่นใจว่าในไตรมาส 2 จะมีนักท่องเที่ยวจีนถึง 1 ล้านคน จากปัจจัยบวกการเพิ่มเที่ยวบินประจำและเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) โดยส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT)

 

++ “จีน”พระเอกท่องเที่ยวไทย ลุ้น 7-8 ล้านคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นพระเอกของภาคท่องเที่ยวไทยในปีนี้ คาดมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มปิดที่ 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 รองลงมาคือตลาดมาเลเซีย วางเป้าไว้ที่ 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน

สำหรับสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-29 มี.ค.2566 รวม 6,276,240 คน แบ่งเป็น เดือน ม.ค. 2,144,948 คน เดือน ก.พ. 2,061,419 คน วันที่ 1-29 มี.ค. 2,069,873 คน เฉพาะเดือน มี.ค. กระแสการเดินทางของตลาดจีนเริ่มฟื้นตัวดี มีจำนวน 250,345 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจากตลาดมาเลเซียซึ่งมี 296,361 คน ส่วนตลาดอื่นๆ รองลงมาคือ รัสเซีย 167,546 คน อินเดีย 110,298 คน และเกาหลีใต้ 108,361 คน

“หากภาคท่องเที่ยวไทยยังรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ดีต่อเนื่อง เฉลี่ยมีชาวต่างชาติเที่ยวไทยเดือนละไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน ตลอดทั้งปีนี้ก็น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมไม่น้อยกว่า 24-25 ล้านคน ตามเป้าหมายของ ททท.ที่ตั้งไว้ 25-30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท และเมื่อรวมกับตลาดในประเทศที่คาดการณ์ว่ามีนักท่องเที่ยวไทย 117-135 ล้านคน-ครั้ง ทำรายได้ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นรายได้รวมทั้งตลาดในและต่างประเทศ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2562”

 

++ “ท่องเที่ยวฯ” ประสานฝั่งจีน คุมคุณภาพกรุ๊ปทัวร์

ล่าสุด ททท.ยังไม่ได้รับรายงานปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะกึ่งบังคับนักท่องเที่ยวไปร้านค้าที่กำหนด หากไม่ซื้อสินค้า ก็จะไม่ให้นักท่องเที่ยวเช็กอินโรงแรมบ้าง หรือไม่ให้ขึ้นรถบัสนำเที่ยวบ้าง สร้างความเสียหายแก่ภาคท่องเที่ยวไทย

“นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้หารือกับทางการจีน เกี่ยวกับการสร้างกลไกรับนักท่องเที่ยวคุณภาพร่วมกัน โดยล่าสุดเราได้รับแจ้งจากทางการจีนว่า ถ้าบริษัททัวร์ใดจะส่งนักท่องเที่ยวจีนออกไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องได้รับอนุญาตจากทางการจีนก่อน เพราะฉะนั้นก็เป็นการคุมต้นทาง ส่วนเราเองก็ต้องคุมปลายทางเหมือนกัน”

 

++ “กรมท่องเที่ยว” วุ่นแก้ทัวร์ศูนย์เหรียญ

ก่อนหน้านี้ นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กรมการท่องเที่ยวได้เปิดลงทะเบียนบริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2566 มีบริษัทนำเที่ยวลงทะเบียนแล้วกว่า 100 บริษัทเท่านั้น จาก 10,000 บริษัท และได้ประสานความร่วมมือกับกงสุลไทยในจีน หากพบว่าบริษัทที่ไม่อยู่ในรายชื่อบริษัทนำเที่ยวที่ทำธุรกิจคู่ค้ากับจีน ทางสถานทูตจีนจะตรวจประวัติย้อนหลังอย่างเข้มข้นว่ามาพักที่ไหน และราคาทัวร์เท่าไร โดยในส่วนของราคาทัวร์หากพบความผิดปกติ เช่น ราคาต่ำกว่าทุน ก็จะส่งข้อมูลกลับมาให้ฝั่งไทยพิจารณาอีกครั้ง หากเป็นคู่ค้าที่เป็นคนไทยถูกต้อง ไม่ใช่นอมินี จึงจะออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนที่มากับบริษัทนำเที่ยวนั้นได้

“จากการหารือกับสถานทูตจีนในประเทศไทย ระบุว่าถ้าบริษัทนำเที่ยวของจีนทำความเสียหายกับไทย เช่น ทิ้งทัวร์ ใช้ไกด์นอมินี ใช้ไกด์จีน ให้ส่งผู้กระทำผิดให้เขาด้วย รัฐบาลจีนจะใช้กฎหมายเขาลงโทษฝั่งจีนด้วย ซึ่งตรงนี้เรามองว่ามีประสิทธิภาพที่สุด เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้กลัวกฎหมายไทย แต่กลัวกฎหมายจีนมากกว่า ดังนั้นหากไทยจับได้ว่ามากระทำความผิดในไทย ก็จะส่งให้ทางการจีนลงโทษ เพราะกฎหมายบ้านเขาโทษหนักกว่าบ้านเรา”

 

++ ททท. ยันไร้กังวล “ท่องเที่ยววงจรปิด” หากอยู่ในกรอบ กม.

นายยุทธศักดิ์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านธุรกิจท่องเที่ยววงจรปิด ซึ่งเป็นวงจรที่เกี่ยวข้องกับคนชาติๆ นั้นเป็นการเฉพาะ ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชาติอื่นๆ ด้วย เช่น พานักท่องเที่ยวไปทานอาหารในร้านของนักลงทุนชาตินั้นๆ ต่อด้วยการพาไปซื้อของจากร้านนักลงทุนชาติเดียวกัน ทาง ททท.ไม่กังวลต่อเรื่องนี้ ถ้ามีการดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย

“ภาพธุรกิจท่องเที่ยววงจรปิดตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวกลับมา ต่างจากในยุคโควิด-19 ที่ร้านรวงปิดให้บริการ โดยเฉพาะร้านที่ให้บริการเฉพาะทัวร์บางสัญชาติ พอไม่มีลูกค้ามา เขาก็ปิดไป แต่ตอนนี้เริ่มจะกลับมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องของการทำธุรกิจปกติ แต่ทั้งนี้ธุรกิจวงจรปิด เม็ดเงินอาจจะไม่ได้กระเด็นออกนอกประเทศไทยไปเสียทั้งหมด ยังมีเม็ดเงินบางส่วนอยู่ในไทยบ้าง แต่อาจจะได้น้อย ถือเป็นจุดที่ต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อให้คนไทยหรือคนในท้องถิ่นนั้นๆ ได้ประโยชน์ แต่ตราบใดที่ธุรกิจยังแข่งขันไปตามกฎหมาย เราคงไปห้ามอะไรไม่ได้”

 

++ ย้ำ “ทัวร์อั้งยี่” ผูกขาดชาติเดียว ต้องแก้ทุกปม

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องทัวร์อั้งยี่ ซึ่งทำกันเฉพาะกลุ่มชาวจีนแบบผูกขาด โดยมีหลายประเด็นเกี่ยวข้อง อาทิ ปัญหาการนำไกด์เถื่อนชาวจีนเข้ามาในไทย ปัญหานอมินี และปัญหาทุนสีเทา ทางนายยุทธศักดิ์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่อยากให้มีการตั้งชื่อเจาะจงว่าเป็นทัวร์อั้งยี่ แต่สำหรับเรื่องไกด์เถื่อน อย่างไรก็ต้องดำเนินการตาม พรบ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เนื่องจากไม่อนุญาตให้คนที่ไม่มีสัญชาติไทยมาเป็นไกด์นำเที่ยว หากพบปัญหาไกด์เถื่อนก็ขอให้แจ้งมาทางกรมการท่องเที่ยวและตำรวจท่องเที่ยว

ส่วนประเด็นเรื่องนอมินี ไม่ได้มีเฉพาะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ก็ต้องให้ทางกระทรวงพาณิชย์เข้าไปดำเนินการควบคุม และสุดท้ายเรื่องทุนสีเทา ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคนเข้าประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และกระทรวงการต่างประเทศ ต้องมีการคัดกรอง ซึ่งปัจจุบันมีฐานข้อมูลในการตรวจสอบระดับหนึ่งอยู่แล้ว