‘แพนเอเซียฟุตแวร์’ เทกออฟครั้งใหม่ มุ่งทะยานรายได้สู่ 5 พันล้านบาท
10 ปี เป็นระยะเวลาของ "แพนเอเซียฟุตแวร์" อยู่ในสภาวะแลนด์ดิ้ง หลังเผชิญการเปลี่ยนแปลง เมื่อรองเท้ายี่ห้อดัง "ไนกี้" ย้ายฐานผลิตไปจีนและเวียดนาม หลังไทยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสมัยนั้น ทำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ปัจจุบันฐานนิ่ง พร้อมวิ่งมุ่งเติบโตอีกครั้ง
หากจะกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของ “แพนเอเซียฟุตแวร์” ของ "เครือสหพัฒน์" ต้องยกให้เป็นบริษัทไทย “รายแรก” ที่ผลิตรองเท้าให้แบรนด์ระดับโลกอย่าง “ไนกี้”(NIKE) สร้างการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่
ทว่า จุดเปลี่ยนเกิดเมื่อประเทศไทยมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ซ้ำเติมสถานการณ์ “ต้นทุน” การผลิต ท้ายที่สุดการรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มแบรนด์ “ไนกี้” ต้องยุติลงในปี 25556
ตลอดเวลาสิบปี “แพนเอเซียฟุตแวร์” มีการปรับโครงสร้างมากมาย ปรับพอร์ตโฟลิโอการรับจ้างผลิต สร้างแบรนด์รองเท้าของตัวเอง รวมถึงบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มี สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับองค์กร
สมมาต ขุนเศรษฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด(มหาชน) ฉายภาพว่า ยุคเฟื่องฟูของบริษัทคือการผลิตรองเท้าไนกี้ และทำเงินมหาศาลระดับ 5 พันล้านบาท การจ้างงานของบริษัทและบริษัทลูกรวมกันมากถึง 1.5 หมื่นคน ทว่า ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ผู้ผลิตรองเท้าย้ายฐานไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน บริษัทต้องปรับไซส์องค์กรมีการลดพนักงานเหลือ 2-3 พันคน รายได้ลดลง และเผชิญภาวะขาดทุน
ทว่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จนถึงเวลานี้เป็นการ “ฟื้นตัวครั้งใหญ่” หลังวางรากฐานธุรกิจนิ่ง และลุยคืนชีพอุตสาหกรรมรองเท้าครั้งใหม่ ด้วยการให้น้ำหนักในการสร้างแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “แพน” ซึ่งทำตลาดมา 46 ปี มีทั้งรองเท้า เสื้อผ้า รวมถึงสร้างแบรนด์ “DAYBREAK” เจาะกลุ่มเป้าหมาย
“ตอนนี้แพนฯ กำลังฟื้นตัวใหม่ หลังจากเราดาวน์ไซส์ธุรกิจสิบกว่าปี หลังจากไนกี้ออกไป ขณะนี้รากฐานธุรกิจนิ่ง เราต้องวิ่งแล้ว โดยจะให้ความสำคัญกับแบรนด์แพน ที่ตอนนี้ขายได้เดือนละแสนคู่ ทำรายได้ 40-50 ล้านบาทต่อเดือน และ DAYBREAK เป็นตัวชูโรง”
สำหรับการทำตลาดรองเท้า สินค้าอื่นๆภายใต้แบรนด์ “แพน” จะเห็นการรุกตลาดรองเท้านักเรียนรอบใหม่ทั้งแพน และพีเอส.จูเนียร์ รวมถึงการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อโฆษณานอกบ้าน โซเชียลมีเดีย และออนไลน์ต่างๆ เพราะหากปล่อยให้แบรนด์เงียบหาย จะถูก “คู่แข่ง” กลบ กลืนกินการรับรู้(Brand Awareness) และส่วนแบ่งตลาดได้
ส่วนรองเท้า DAYBREAK จะชูจุดเด่นรองเท้ารักษ์โลก ตอบโจทย์ความยั่งยืน โดยใช้วัสถุพลาสติกชีวภาพ(Polylactic Acid) รวมถึงวัสดุจากข้าวโพดมาใช้ในกระบวนการผลิต ช่วยให้ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ นอกจากสินค้าดังกล่าวจะทำตลาดในประเทศ ยังมองโอกาสตลาดต่างประเทศด้วย
อีกด้านบริษัทยังคงเดินหน้า "รับจ้างผลิต" ให้กับแบรนด์อื่น ซึ่งปัจจุบันเปิดกว้างรับทั้ง “รายเล็ก กลาง ใหญ่” จากอดีตจะเน้นเฉพาะรายใหญ่เท่านั้น ซึ่งพอร์ตโฟลิโอดังกล่าวยังเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างรายได้สัดส่วนถึง 80% มีลูกค้าทั้งในและนอกเครือ เช่น ลาคอสต์ และการขายรองเท้าแบรนด์อื่นๆ เช่น FLIPFLOP, PAN และ BEMOLO ฯ โดยอนาคตสัดส่วนรายได้ของแบรนด์บริษัทต้องเพิ่มขึ้น
“เมื่อก่อนการรับจ้างผลิตเราเน้นผู้ประกอบการรายใหญ่ ตอนนี้รายเล็ก กลาง เรารับหมด สำหรับผู้ที่อยากเป็นเถ้าแก่ มีแบรนด์รองเท้าเป็นของตัวเอง ซึ่งบางรายจ้างผลิตเริ่มต้นเดือนละ 100 คู่ ปัจจุบันเติบโตผลิต 2 หมื่นคู่ต่อเดือนแล้ว ปีนี้เราต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 5-6 ราย รับแบรนด์ใหม่เพิ่ม โจทย์เราคือจากลูกค้าไม่มีอะไรเลย จะทำให้ครบทั้งดีไซน์ ออกแบบ ทำรองเท้าตัวอย่าง ผลิตรองเท้าคุณภาพดีเพื่อให้ลูกค้าขายได้คล่อง สร้างการเติบโตแบบ win-win ทั้งคู่”
ท่ามกลางการฟื้นฟูธุรกิจ บริษัทยังมีการใช้พื้นที่ที่มีกว่า 100 ไร่ เพื่อปลูกผักออร์แกนิกแบรนด์ “ดับเบิ้ลยูบี ออร์แกนิค ฟาร์ม”(WB ORGANIC Farm)เพื่อจำหน่ายสร้างยอดขายหลายสิบล้านบาทด้วย
จากแผนดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% แต่ต้องการผลักดันการโตให้มากกว่านั้น เพื่อกลับไปแข็งแกร่งทำเงิน 5,000 ล้านบาทอีกครั้ง จากปี 2566 รายได้รวมกว่า 3,000 ล้านบาท
“เราอยากเติบโตแบบก้าวกระโดด ใน 5 ปี มีความคล่องตัวและรายได้กลับไประดับ 5,000 ล้านบาท ระยะเวลานั้นอาจนานไป หากได้ลูกค้าที่สร้างจุดเปลี่ยน อาจทำให้สปีดการโตได้ ท่ามกลางปัจจัยลบ มองการทำธุรกิจปีนี้ ไม่เหนื่อย..ถ้าเราคิดว่าเหนื่อย ก็จะเหนื่อย แง่ของธุรกิจจะคำนึงเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ได้ บางรายเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายเติบโต เป็นโอกาส ปีนี้จึงบอกทีมงาน วิกฤติต้องเป็นโอกาสของบริษัทด้วย แม้กำลังซื้อผู้บริโภคจะลดลงก็ตาม แต่ต้องหากลุ่มเป้าหมายที่ยังมีกำลังซื้อ ใช้จ่ายให้เจอ”
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 บริษัทมีรายได้กว่า 486 ล้านบาท ลดลง 18.35% เพราะเป็นโลว์ซีซัน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 11.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 456.92%
“กำไรเราไม่ถึงกับสูงมาก เพราะเราแลนด์ดิ้งมานาน เพิ่งกลับมาเทกออฟใหม่ ในแง่ต้นทุนเรายังมีอยู่ สิ่งที่ต้องทำคือลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และหาทางเพิ่มยอดขายตลอดเวลา เพื่อให้เราเติบโตทั้งรายได้และกำไร”