เทคนิคการสร้างแบรนด์ ‘น้อยแต่ได้มาก’ ตามแบบฉบับ HOKA

เทคนิคการสร้างแบรนด์ ‘น้อยแต่ได้มาก’ ตามแบบฉบับ HOKA

บทความนี้ผมจะวิเคราะห์การสร้างแบรนด์ Hoka ที่ทำน้อยแต่ได้ผลลัพธ์มาก และทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างไนกี้ หัวใจต้องสั่นไหวเลยทีเดียว

พูดถึงชื่อแบรนด์ Hoka สำหรับสายวิ่ง แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักและหลายคนก็ได้สัมผัสการสวมใส่จริงแล้ว แม้กระทั่งคนใกล้ตัวผมเองก็ใส่ Hoka กันหลายคน 

๐ ความเป็นมาของแบรนด์ Hoka

Hoka หรือ Hoka One One (ออกเสียงว่า Own-ay Own-ay) เป็นแบรนด์รองเท้าวิ่งจากฝรั่งเศสเกิดขึ้นในปี 2552 เมื่อนักกีฬาวิ่งเทรลทั้ง 2 คน คือ Jean-Luc Diard อดีตประธานบริษัท Salomon และ Nicolas Mermoud อดีตทีมงานของ Salomon ตั้งใจออกแบบรองเท้าวิ่งที่ทำให้การวิ่งลงเขารู้สึกเหมือนกำลังบิน 

ในช่วงเวลาที่โลกแห่งการวิ่งกำลังนิยมแนวทางการวิ่งแบบ barefoot ด้วยรองเท้าสไตล์มินิมอล Hoka ได้ออกแบบรองเท้าแบบ Maximalist คือ การมีพื้นรองเท้าขนาดใหญ่ สีสดใส และคำมั่นสัญญาที่ว่าใครก็ตามที่สวม Hoka จะสามารถวิ่งลงเนินได้เร็วกว่าใครก็ตามที่ไม่ได้สวม

(bearfoot คือรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าบางเพื่อลดการรองรับและให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการวิ่งบนพื้นดินเปล่า การวิ่งแบบ barefoot เน้นการวิ่งโดยไม่ใช้รองเท้าที่มีการรองรับมากเกินไป เพื่อให้เท้าได้สัมผัสพื้นผิวมากที่สุด)

เทคนิคการสร้างแบรนด์ ‘น้อยแต่ได้มาก’ ตามแบบฉบับ HOKA

“Hoka One One” มาจากภาษาเมารี เป็นภาษาพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ซึ่งแปลว่า “บินเหนือพื้นโลก” ชื่อนี้เป็นพื้นฐานของสโลแกนของแบรนด์ “Time to Fly” และการโฆษณาและการตลาดของแบรนด์

ก่อนจะเปลี่ยนสโลแกนใหม่ในช่วงปี 2564 จาก “Time to Fly” สู่ “Fly Human Fly” ส่วนสาเหตุที่ใช้ชื่อเป็นภาษาเมารีก็เพื่อเป็นการยกย่องถึงประเพณีและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และเต็มไปด้วยความหลากหลายในการแข่งขันผจญภัย 

จุดมุ่งหมายของแบรนด์มาจากความเข้าใจจุดเจ็บปวดลูกค้า (Pain points )

แนวคิดการเริ่มต้นของแบรนด์ Hoka มาจากการเข้าอกเข้าใจ ( Empathy ) ผู้ใช้งาน โดยการสังเกตและได้สัมผัสจุดเจ็บปวดของนักวิ่งอย่างแท้จริง 

เมื่อ...คุณมองดูกีฬาวิ่ง จะพบว่ามีความเจ็บปวดบางอย่างที่ผู้คนไม่ชอบ 

เมื่อ...คุณมองดูนักกีฬาอายุ 20 ปีที่ต้องหยุดแข่งขันเป็นเวลาหนึ่งปีเพราะได้รับบาดเจ็บ นั่นคือปัญหา

เมื่อ…คุณเห็นคนที่ไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้เพราะรู้สึกไม่สบาย นั่นก็ถือเป็นปัญหาเช่นกัน

เทคนิคการสร้างแบรนด์ ‘น้อยแต่ได้มาก’ ตามแบบฉบับ HOKA  

Jean-Luc Diard อธิบายเกี่ยวกับความคิดของเขาที่น่าจะเป็นจริง จากการอ้างอิงผ่านการศึกษาใน British Journal of Sports Medicine พบว่า 50% ของนักกีฬาได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการบาดเจ็บ เช่น ความเครียด วิตกกังวล รู้สึกสิ้นหวัง

ในช่วงเวลาที่โลกแห่งการวิ่งกำลังนิยมแนวทางการวิ่งแบบ barefoot ด้วยรองเท้าสไตล์มินิมอล มีสิ่งที่หลากหลายแบรนด์/บริษัทไม่ได้ตระหนักถึงการออกแบบรองเท้าสไตล์มินิมอล คือ ทำอย่างไรถึงจะมอบความสบายในการวิ่งให้กับนักกีฬาได้ ซึ่ง Hoka มองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับนักวิ่งทั่วโลก 

อย่างไรก็ดี Hoka ยังออกแบบบางประการที่สอดคล้องกับแนวทางของ minimalist แม้ว่ารองเท้า Hoka จะมีความหนาแต่ก็มีน้ำหนักเบามาก มีการยกส้นต่ำและรูปทรง “rocker” ของรองเท้าช่วยให้ปลายนิ้วอยู่ในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติและส่งเสริมรูปแบบการเดินที่สมดุลไปข้างหน้า

เทคนิคการสร้างแบรนด์แบบ Hoka

1.สร้างประสบการณ์ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายโดยตรง ที่ราบรื่นมากขึ้นเพื่อครอบคลุมทุกจุดสัมผัส (touchpoints) ที่ลูกค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ 

ขั้นตอนแรกในการขยายตัว คือ การเพิ่มการเข้าถึงของแบรนด์และจำนวนสถานที่ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายทั่วประเทศ ภายใน 2 ปีหลังการซื้อกิจการ ทีม Deckers ได้เพิ่มจำนวนร้านค้าที่จำหน่ายรองเท้า Hoka ให้ครอบคลุมช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก

2.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นรองเท้าผ้าใบที่ผู้บริโภคทั่วไปชื่นชอบ ในขณะเดียวกันก็รักษาความสวยงามและความสบายขนาดใหญ่ที่ “หนา” ของแบรนด์ไว้ ซึ่งขณะนั้นมีหลายเสียงให้ชื่อว่าเป็น ”รองเท้าที่น่าเกลียด”

ขั้นตอนถัดไป ขยายสายผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับลูกค้าประจำต่อไป ในขณะเดียวกันก็เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และผลักดันให้มีการยอมรับในวงกว้าง ด้วยการทำรองเท้าผ้าใบขนาดใหญ่ (สำหรับนักวิ่งมือสมัครเล่น) ซึ่งแตกต่างจากรองเท้าผ้าใบขนาดพิเศษ (สำหรับนักกีฬาและนักวิ่งเทรล)

สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือ Hoka ยังคงเป็นรองเท้าที่มีพื้นหนาและมีสีสันอย่างที่ทุกคนรู้จัก แบรนด์ไม่ถูกลดทอนหลังการซื้อกิจการ โดยที่ Deckers ไม่ได้จ้างทีมการตลาดหรือการสร้างแบรนด์ภายนอกเพื่อลดความเป็นเอกลักษณ์ของ Hoka 

แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขายึดมั่นในลักษณะเด่นของแบรนด์ซึ่งก็คือพื้นรองเท้าขนาดหนา ที่หากแบรนด์อื่นออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน จะถูกมองว่าเป็น “การลอกเลียนแบบ” เพราะแบรนด์ Hoka ได้สร้างชื่อเสียงที่แข็งแกร่งจากการมีพื้นรองเท้าขนาดหนา

เทคนิคการสร้างแบรนด์ ‘น้อยแต่ได้มาก’ ตามแบบฉบับ HOKA

3.สร้าง Brand Superfans ของ Hoka

3.1 กลยุทธ์การใช้ KOL ( Key opinion leader) หลังจากที่นำเสนอรองเท้า Hoka รุ่นต้นแบบในงานแสดงสินค้าปี 2552,

Nicolas Mermoud หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Hoka One On ได้ทำข้อตกลงกับ Mark Plaatjes แชมป์มาราธอนโลกปี 2536 และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Boulder Running Company ร้านขายรองเท้าวิ่งและอุปกรณ์การวิ่งที่ตั้งอยู่ในเมือง Boulder, Colorado ในการซื้อรองเท้า 770 คู่ เพื่อทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ 

ในปี 2553 Hoka ได้ทำข้อตกลงกับ Karl Meltzer นักวิ่งระยะไกลชื่อดัง (Ultra-runners) ที่เลิกใช้แบรนด์ La Sportiva มาเลือกใช้ Hoka และเริ่มแข่งขันด้วยรองเท้าวิ่งทรงหนาที่ไม่ค่อยมีนักวิ่งนิยมใช้กันมากนักในช่วงนั้น

3.2 สร้างกลไกการเผยแพร่คำบอกต่อของกลุ่มคอมมูนิตี้ (Word-of-Mouth) Hoka เริ่มต้นด้วยการมุ่งเป้าไปที่นักวิ่งระยะไกลซึ่งเป็น กลุ่ม Niche แต่กำลังเติบโต โดย Hoka ได้รับความนิยมจากการตลาดแบบ grassroots คือการที่สินค้าได้รับการสนับสนุนและแพร่หลายจากการพูดถึงและแนะนำในกลุ่มคนเล็กๆ หรือในชุมชนมากกว่าการโฆษณาใหญ่ๆ และการเผยแพร่คำบอกต่อในชุมชนการวิ่ง 

การใช้การสร้างแบรนด์ผ่านการสร้างสาวกแบรนด์นั้น พบว่าจากข้อมูลสถิติในปี 2563 ในงาน Speedgoat 50K ที่รัฐยูทาห์ นักวิ่ง 1 ใน 3 จากทั้งหมด 275 คนที่เข้าเส้นชัยสวมรองเท้า Hoka 

Hoka ดำเนินการธุรกิจได้เพียงหนึ่งทศวรรษ รายได้ทะยานมากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 49,000 ล้านบาท) (ปีงบประมาณ 2566)

เราต้องมาดูกันต่อไปยาวๆ ว่าแบรนด์ที่ร้อนแรงช่วงแรกนั้น เมื่อต้องเติบโตในขั้นต่อไปนั้นจะสร้างแบรนด์ให้มีมูลค่าเทียบเท่าแบรนด์เจ้าตลาดอย่างไรกี้ได้อย่างไรต้องคอยติดตามชมกันครับ