ตลาดแฟชั่นลักชัวรี เปลี่ยนโฉม ‘Club21’ รุกใหญ่รอบ 30 ปี
ไทยศูนย์กลางแฟชันในอาเซียน แบรนด์ทั่วโลกปักหมุดเปิดสาขา ขยายชอปให้มี2 ชั้น ถึงเวลา“คลับ21” (CLUB 21) ถึงเวลาโตครั้งใหม่ตามตลาดแฟชั่นลักชัวรีเปลี่ยนใหม่ รุกเปิดสาขาใหม่ ดึงแบรนด์มาแรงเสริม เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ คาด 3 ปีดันยอดขายทะลุ 3,000 ล้านบาท
เป็นความท้าทายของทุกผู้ประกอบการทุกรายที่ทำหน้าที่เป็น “ดิวทริบิวเตอร์" ให้แก่แบรนด์ต่างๆ และเมื่อตลาดเติบโต ทำให้เจ้าของแบรนด์มองโอกาสนี้เข้ามาทำตลาด และเปิดหน้าร้านเอง “Club21 (คลับ21) เป็นหนึ่งในธุรกิจที่นำเข้าสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในเวลานี้เช่นกัน!
“โสภาวดี เพชรชาติ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คลับ 21 (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นชั้นนำกว่า 80 แบรนด์ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมาร่วม 30 ปีแล้ว ได้เห็นทิศทางตลาดแฟชั่นไทยที่เปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหลังโควิดที่แบรนด์ต่างๆ ปรับมาเปิดสาขาเองในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งขยายขนาดสาขาให้ใหญ่ขึ้น และมีชอปขนาดใหญ่เพิ่มพื้นที่เป็น 2 ชั้น รวมถึงบางแบรนด์ที่เดิมให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายก็ปรับแผนมาทำตลาดในประเทศไทยเอง
ทั้งหมดสะท้อนถึงตลาดแฟชั่นลักชัวรีในประเทศไทยกำลังเติบโตสูง ทำให้ประเทศไทย กลายเป็นเดสทิเนชันทางด้านแฟชันของภูมิภาคอาเซียน ไม่แพ้กับต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ และฮ่องกง อีกทั้งเมื่อประเมินกำลังซื้อในปี 2567 ยังมีทิศทางที่ขยายตัวดีอยู่ ยกเว้นบางแบรนด์ที่อาจไม่ตรงเทรนด์ในยุคนี้ จึงมียอดขายซบเซาไป
“สินค้าแฟชันลักชัวรีในไทยปีนี้ยังขยายตัว จากการที่มีแบรนด์ใหญ่ปรับแผนมาเปิดสาขาในไทยและมีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงเห็นการเปิดพื้นที่เป็น 2 ชั้นเกือบทั้งหมด แสดงถึงการเห็นโอกาสตลาดแฟชั่นในไทย การมีฐานลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ"
เร่งขยายสาขา ปักหมุด วัน แบงค็อก 25 ต.ต.นี้
ทั้งนี้จากภาพรวมการแข่งขันในตลาดที่มีมากขึ้น จึงเป็นความท้าทายและอีกด้านเป็นโอกาสต่อธุรกิจเช่นกัน ทำให้ คลับ21 (CLUB 21) ที่เป็นมัลติเลเบล (Multilabel) รวมหลากหลายแบรนด์ จากเดิมมีสาขาเดียว ได้ปรับแผนไปสู่การเปิดสาขาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดที่กำลังเปิดใหม่คือ วันแบงค็อก ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ โดยมาในรูปโฉมใหม่ ผสมผสานหลายแบรนด์แฟชั่น
ขณะเดียวกันเทรนด์แฟชั่นในโลกโดยเฉพาะตลาดลักชัวรี ได้เปลี่ยนไปสู่การนำเสนอในแนวทาง “สตรีทแฟชั่น” มากขึ้น ทำให้ คลับ 21 จึงได้มีนำเสนอที่ผสมผสานตามเทรนด์แฟชั่นของโลก พร้อมคัดสรรแบรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงในภูมิภาคเอเชีย เช่น จากประเทศเกาหลีใต้ และจีน เพื่อร่วมเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร้านค้า แต่แบรนด์หลักยังมาจากยุโรป
“บริษัททำหน้าด้านการตลาดให้แก่แบรนด์ต่างๆ มายาวนาน แต่เมื่อหลายแบรนด์มียอดขายเติบโต จึงปรับมาเปิดสาขาใหม่เอง บริษัทได้มีการปรับให้สอดคล้องกับตลาดแฟชั่นที่หมุนเปลี่ยนไปเช่นกัน เรามองเป็นโอกาสขยายแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ ร่วมเพิ่มความหลากหลาย เป็นอีกแม่เหล็กร่วมดึงดูดกลุ่มลูกค้า”
Club21 ทำแผนการตลาดสุดยิ่งใหญ่ในประเทศไทย
อีกทั้งในปี 2567 ได้เตรียมแผนการตลาดครั้งใหญ่สุดตั้งแต่ทำตลาดในประเทศไทยกับ “SALUTE THE DETAIL” ผ่านหนังโฆษณาใหม่ 3 เวอร์ชั่น ร่วมนำเสนอในมุมมองใหม่ พร้อมชวนให้ทุกคนมาค้นหาความแตกต่างและความพิเศษของแบรนด์ ทั้ง การมุ่งคัดสรรแบรนด์ชั้นนำ ที่มีความโดดเด่น มีรายละเอียด มีเอกลักษณ์ มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อตอบทุกความต้องการและทุกสไตล์ โดยแคมเปญนี้ได้วางงบการตลาดประมาณ 15 ล้านบาท มุ่งผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์
“เป็นครั้งแรกที่ได้มาทำภาพยนตร์โฆษณาร่วมสื่อสารแบรนด์ไปสู่กลุ่มลูกค้าในวงกว้าง หรือเป็นตลาดแมส จากเดิมเราเน้นทำตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม หรือ นิชมาร์เก็ต เพื่อร่วมขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังคนรุ่นใหม่ๆ ของแบรนด์มากขึ้น ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีลงมา จากในปัจจุบันตลาดที่มีใหญ่คือ อายุ 45 ปีขึ้นไป”
อีกแม่เหล็กสำคัญของแบรนด์ที่ร่วมดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการและเป็นจุดแข็งคือ การมีระบบสมาชิกและการให้ส่วนลดแก่ลูกค้า รวมถึงมีพนักงานขาย ที่ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าอย่างครบวงจร จึงร่วมกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีฐานลูกค้าสมาชิกกว่า 1 แสนราย แบ่งเป็นระดับ C1-C6 ซึ่งกลุ่มลูกค้ากลุ่ม C6 มียอดซื้อสะสมต่อปี 2.5 ล้านบาท ในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 1,000 คน ส่วนฐานลูกค้าใหญ่สุดจะเป็น C1
“หากมองการแข่งขันสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีภาษีนำเข้าสูงถึง 30% แต่คลับ 21 มีระบบสมาชิก จึงช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ โดยการให้ส่วนลดตั้งแต่ 10-15% เป็นต้น ดังนั้นการเลือกซื้อที่ไทยและได้ระบบแบบสะสมแต้มต่างๆ พร้อมส่วนลด ทำให้ราคาใกล้เคียงกับต่างประเทศ จึงเป็นอีกแรงดึงดูดให้แก่ลูกค้า ไม่ต่างจากการไปเลือกซื้อในต่างประเทศ”
ทั้งนี้ ประเมินว่า จากแผนรุกตลาดครั้งใหญ่ในประเทศไทย จะสร้างยอดขายรวมในปี 2567 อยู่ที่ 2,700 ล้านบาท สัดส่วนยอดขายมาจากหน้าร้าน 80% และในออนไลน์ 20% โดยลูกค้าหลักเป็นทั้งคนไทยและต่างประเทศ ส่วนใหญ่มาจาก จีน อินเดีย และอาหรับ พร้อมคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 3,000 ล้านบาท
“ในช่วงโควิด ยอดขายรวมลดลงไปต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท มาจากธุรกิจถูกกระทบจากการต้องปิดหน้าร้านเป็นครั้งแรก จึงได้ปรับมาทำตลาดผ่านออนไลน์มากขึ้นและทำแบบครบวงจร ทำให้ในปัจจุบันยอดขายกลับมาเติบโต เทียบเท่ากับช่วงก่อนโควิด ตั้งแต่ปี 2565-2566”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม คลับ 21 ประเทศไทย ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกในปี 2537 มีสาขาในห้าง ได้แก่ เกษรวิลเลจ เป็นสาขาขนาดใหญ่สุดในประเทศ มีพื้นที่ 2 ชั้น, เซ็นทรัลชิดลม, เซ็นทรัลลาดพร้าว, สยามดิสคัฟเวอรี่, สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, เอ็มโพเรียม และเอ็มสเฟียร์ ทั้งยังมีการจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ https://th.club21.com/ สำหรับแบรนด์ในร้าน CLUB 21 ที่รวมความหลากหลายแบรนด์ ( Multilabel) เช่น CLUB21 COLLECTION, ACNE STUDIOS, ALAÏA, AMIRI, BLACKJACK, และ JACQUEMUS เป็นต้น
สำหรับ MONOBRAND เช่น, 132 5. ISSEY MIYAKE, 3.1 PHILLIP LIM, ALEXANDER WANG, BAO BAO ISSEY MIYAKE, COMME des GARÇONS, ISSEY MIYAKE, MULBERRY, PLEATS PLEASE ISSEY MIYAKE, RAG & BONE, STELLA McCARTNEY และ THOM BROWNE เป็นต้น
