‘Real Yield’ ธีมลงทุนใหม่คริปโท ฝ่าภาวะตลาดขาลง
สำหรับการซื้อหรือเข้าลงทุนหุ้นแต่ละตัว นักลงทุนต้องติดตามข่าวทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ และต้องศึกษาข้อมูล ก่อนการซื้อขาย เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดี เช่นเดียวกับการลงทุนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะต้องติดตามข่าวสารปัจจัยต่างๆให้รอบด้าน และความน่าสนใจของแต่ละโปรเจกต์หรือแพลตฟอร์มนั้น ๆ ด้วย
กุลจิรา อิทธิอมรกุล นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญตลาดคริปโทเคอรเรนซี่ บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด เปิดเผยในรายการ Merkle Insight: 23 ว่า ในขณะนี้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมี 3 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ “The Merge อีเธอเรียม ” (Ethereum:ETH), เหรียญที่มีการพัฒนาบล็อกเชนเลเยอร์ 2 และอีกหนึ่งธีมที่เพิ่งจะถูกพูดถึงในช่วงหลังคือ Real Yield หรือ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง
โดยธีมการลงทุนแบบ Real Yield ค่อนข้างน่าสนใจและสมเหตุสมผลในการลงทุนท่ามกลางตลาดที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะมองหาการลงทุนแบบ“Fundamental” หรือ “การลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน”เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มองจากปัจจัยพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก ซึ่งต้องมีการศึกษาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆเช่น งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน ผลประกอบการ ฯลฯ ที่จะสะท้อนออกมาเป็นมูลค่าของสินทรัพย์ในระยะยาวร่วมด้วย
นั่นคือรายได้ของบล็อกเชน หรือโปรโตคอล แพลตฟอร์มต่าง ๆ นอกจากที่นักลงทุนจะต้องถือเหรียญไว้เฉยๆ เพื่อรอให้ราคาปรับตัวขึ้น แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ มีรายได้ เข้ามาให้เราจริงๆ เหมือนกับหนึ่งธุรกิจที่มีแผนรายได้และแผนธุรกิจที่ชัดเจน
เปิดที่มารายได้บล็อกเชน-โปรโตคอล
รายได้ของ“บล็อกเชน” มาจาก 1.รายได้จากการทำธุรกรรมหรือ Transaction Fee ซึ่งการที่ทำธุรกรรมต่างๆบนบล็อกเชนจะต้องจ่ายค่าทำธุรกรรม ซึ่งค่าทำธุรกรรมในที่แต่ละบล็อกเชนจะถูกจัดสรรหารใช้งานต่างกันยกตัวอย่างเช่น บล็อกเชนโซลาน่า 50 % นำไปเผาคือการลดซัพพลายของเหรียญที่จะเพิ่มมูลค่าของเหรียญไปในตัว คล้ายกับการซื้อหุ้นคืน และอีก 50% นำไปจ่ายให้โหนดผู้ตรวจสอบหรือValidator Nodes
2.“Miner Extractable Value” หรือ “Maximal Extractable Value” (MEV)เป็นการที่ผู้ใช้ยอมจ่ายค่าก๊าซเพิ่ม เพื่อทำให้ธุรกรรมเร็วขึ้น ซึ่งรายได้ตรงนี้เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจริงจากการใช้งานจริง ที่ให้ประโยชน์กับ Miner นักขุดและ Staker ผู้นำเหรียญเข้ามาฝากในบล็อกเชนโดยตรง
3.Inflationary หรือที่เรียกว่า Block reward ในบล็อกเชน ซึ่งเป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อแจกเป็นรางวัลให้แก่ MinerหรือStakerเช่น บิตคอยน์ ฮาฟวิ่ง คือการลดสถาณการณ์เงินเฟ้อของบิตคอยน์ เป็นการที่บล็อกเชนให้ผลตอบแทนแก่ผู้ที่มาขุด ไม่ใช่รายได้ที่แท้จริง แต่เป็นการให้รางวัลเป็นแรงจูงใจที่จะเข้ามาขุดเหรียญ
รายได้ของ“โปรโตคอล”มีหลายประเภท เนื่องจากในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีโปรโตคอลหายประเภท
1.ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์(Trading Fee) เรียกเก็บโดยDecentralized Exchange (DEX) คือกระดานเทรดที่ไม่มีคนกลางมาคอยควบคุม แต่จะใช้ระบบ Blockchain มาสร้างตลาดที่ทำให้เราสามารถซื้อขายกันได้โดยไม่ผ่านคนกลาง ในอัตรา 0.02-0.3% ขึ้นอยู่แต่ละกระดานเทรด ซึ่งจะได้รายได้ตรงนี้ไปจัดสรรแพลตฟอร์มต่อไป
2.ค่าธรรมเนียมการกู้ยืม(Borrowing Fee ) อาจเปลี่ยนได้ตามดีมานด์การกู้ยืมของตลาด
3.Inflationary Incentiveจะเป็นการแจกเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่สำหรับใช้ในการสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาใช้งาน
ประเมินมูลค่าบล็อกเชน
บล็อกเชน โปรโตคอลและแพลตฟอร์มต่างๆ ถ้าหากมีรายได้เยอะและมีอินเฟรชันน้อย จะเป็นผลดีในการเข้าไปลงทุน โดยในตลาดคริปโทจะใช้P/S RatioหรือPrice to Sales Ratioเพื่อประเมินมูลค่าเบื้องต้น เนื่องจากวิธีประเมินด้วยค่าP/E Ratioอัตราส่วนทางการเงินที่เทียบกันระหว่าง Price/Earning Per Shareตามตลาดหุ้นนั้นไม่สามารถใช้ได้ เพราะไม่สามารถหากำไรสุทธิได้ จึงใช้ยอดขายแทน นั้นคือP/S Ratio หากค่าP/Sยิ่งต่ำจะยิ่งดี โดยเมื่อเทียบในตลาดแล้ว บล็อกเชนอีเธอเรียม(Ethereum)ไบแนนซ์ (Binance)ยูนิสวอป (Uniswap)มีค่าP/Sค่อนข้างต่ำ จึงมีความน่าสนใจ
อีเธอเรียมเชน มีตัวเลขการทำธุรกรรมสูงต่อเนื่องแม้อยู่ในตลาดขาลง โดยวันที่ 19 ก.ค.2565 มีจำนวนการทำธุรกรรมที่1.1 ล้านครั้งต่อวันลดลงเพียง 21 % เมื่อเทียบกับ ช่วงเดือน พ.ย. 2564 ที่ 1.5 ล้านครั้งต่อวัน ในช่วงที่ตลาดคริปโทปรับตัวลดลงขนาดนี้ สะท้อนว่าแพลตฟอร์มมีความแข็งแกร่ง โดยอีเธอเรียมมีเรเวอนิวโมเดลที่ดี โดย Delphi Digital บริษัทที่ทำการวิจัยตลาดคริปโท คาดหลังเดอะเมิร์ช การ StakingAPR (ค่าอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ยืม)ของอีเธอเรียมอาจจะสูงถึง 8-10%ถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างหน้าสนใจ
ไบแนนซ์สมาร์ทเชน มีการทำธุรกรรมในเดือน ก.ค.2565 สูงถึง 4 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งสูงมากและสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเชนเบอร์ต้นๆ จากการมีค่าแก๊สต่ำสะท้อนความแข็งแกร่งบนบล็อกเชนนี้ โดยรายได้หลักๆ มาจากการทำธุรกรรมบนเชน 90%จ่ายให้แวลิเดเตอร์ และอีก 10%นำไปเผาเพื่อลดซัพพลายและเพิ่มมูลค่าให้กับเหรียญ BNBซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ผ่านการโหวต
โปรโตคอลยูนิสวอป มีปริมาณการซื้อขายที่สม่ำเสมอและลดลงน้อยมากเมื่อเทียบกับปลายปี 2564 รวมทั้งนักลงทุนที่มีความเคลื่อนไหวยังคงอยู่ในระดับเดิม สะท้อนการใช้งานภายในโปรโตคอลที่แข็งแกร่งซึ่งยูนิสวอปมีรายได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมล้วนๆจากการเป็น DEX หรือกระดานเทรด DeFi เบอร์ต้น