"สุวัจน์" เปิดงาน Hua Hin Taste อาณาจักรศูนย์รวมความอร่อยระดับตำนาน
"สุวัจน์" เปิดงาน Hua Hin Taste อาณาจักรศูนย์รวมความอร่อยระดับตำนาน พร้อมให้กำลังใจ SME - OTOP ร้านอาหารท้องถิ่น ขอคนไทยช่วยกันรักษาไว้ เพราะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการท่องเที่ยว
วันที่ 19 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 น. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Hua Hin Taste เปิดอาณาจักรศูนย์รวมความอร่อยระดับตำนาน รวมของกินถิ่นหัวหิน กว่า 20 ร้าน ณ ศูนย์การค้าบูลพอร์ต หัวหิน
โดยมี ว่าที่ร้อยตรีกรกฎ โอภาส รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ นายกิตติ เฟื่องฟู เลขานุการ นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน นายกิตติ สิริเพชรเกษม อุปนายก สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว หัวหิน/ชะอำ นายณฐพันธ์ อิทธิละวิวงฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บลูพอร์ต หัวหิน และมิสเตอร์โยเซฟ เดลลา กัทตา ผู้จัดการทั่วไป อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท ร่วมเปิดงานดังกล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวว่า งานวันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้มีการรวบรวมของอร่อยของท้องถิ่นมาไว้ที่เดียวกัน เพราะว่าเป็นการอนุรักษ์ของอร่อยแล้วก็ฝีมือต้นตํารับรสชาติ ซึ่งหาได้ยาก บางร้านรุ่นที่สอง รุ่นที่สามแล้ว บางร้าน 60-70 ปี ถ้าเราไม่มีการอนุรักษ์เอาไว้รสชาติก็หายไป การที่เราได้มีร้านอาหารอร่อย ๆ ในแต่ละท้องถิ่นมันเป็นเสน่ห์ของประเทศ เพราะว่าเวลานักท่องเที่ยวเข้ามาเขาก็อยากจะไปจังหวัดต่าง ๆ ไปตามอําเภอต่าง ๆ ซึ่งแต่ละแห่งที่นักท่องเที่ยวไปก็มีของดีที่แตกต่างกันไป
บางท้องถิ่นอาจจะเป็นเรื่องเสื้อผ้า บางท้องถิ่นอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ เป็นขนม บางท้องถิ่นอาจจะเป็นของกิน บางท้องถิ่นอาจจะเป็นที่เที่ยว แต่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ผมว่าในเรื่องของการเที่ยว เรื่องของกิน เป็นพื้นฐานที่แน่นอน ช้อปปิ้งกับของกินนี่คือเสน่ห์ของเมืองไทย และของกินหรืออาหารบ้านเราสี่ภาคก็ไม่เหมือนกัน แต่ละจังหวัดก็มีของดี แต่ละอําเภอก็มี แต่ละตําบลก็มี
ฉะนั้นในการที่เราได้มีการรวบรวมแล้วก็อนุรักษ์ เรื่องของกินต่าง ๆ เอาไว้ ผมว่านอกจากจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์แล้วก็เป็นเรื่องของการต่อยอดให้ทุกคนมีอาชีพ สําคัญที่สุดคือเป็นพื้นฐานที่จะส่งเสริมการเติบโตทางด้านการท่องเที่ยว
นายสุวัจน์ กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้เราเจอเรื่องโควิดมา 2 ปี เราเคยมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ตอนนี้สถานการณ์โควิดก็ถือว่าคลี่คลายขึ้น ปีนี้ทั้งปีเราอาจจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาอีกประมาณ 8 ล้านคน ก็เท่ากับ 20% สมมุติเราทํากันดี ๆ บรรยากาศภายในประเทศเป็นใจ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่กดดันเรามาก ปีหน้าเราอาจจะขยับมาถึงครึ่งหนึ่งก็ได้ ก็อาจจะกลับมา 25 ล้านคน และอีกปีหนึ่งทุกอย่างก็น่าที่จะกลับมาเหมือนเดิม
ฉะนั้นตอนนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือไม่ช่วยกันในการสร้างกําลังซื้อภายในประเทศ พวก SME ผู้ประกอบการ หรือร้านอาหารอร่อย ๆ ที่มีชื่อเสียงแต่เดิม ๆ เขาอาจจะอยู่ไม่ได้ อาจจะหายไปเฉย ๆ ของดี ๆ รสชาติดี ๆ สูตรอาหารดี ๆ แม่ครัวเก่า ๆ อาจจะหายไป หายไปพร้อมกับ SME หายไปกับผู้ประกอบการ
"วันนี้นักท่องเที่ยว 40 ล้านคนก็ยังไม่มา เราต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นกําลังซื้อภายในประเทศให้เกิดขึ้น ความมีน้ำใจของคนไทย ความเป็นชาตินิยม "ไทยกิน ไทยเที่ยว ไทยใช้ ไทยเจริญ" คนไทยออกมาช่วยกัน มาสร้างกําลังซื้อ ใครที่พอมีกําลังก็ออกมากิน มาเที่ยวกัน อยู่ในประเทศ อุดหนุนสินค้าไทยของกินอร่อย ๆ สินค้าโอทอป ผู้ประกอบการต่าง ๆ ให้เค้าอยู่ได้ อย่าให้ทุกคนจมน้ำลอยคอกันไปก่อนสักหนึ่งปีสองปีช่วยกันประคับประคอง วันนี้เราต้องช่วยกัน" นายสุวัจน์ กล่าว
ขณะนี้เรื่องสินค้าราคาแพงก็เดือดร้อนกันมาก ก็เห็นใจพี่น้องประชาชน น้ำมันก็เบาลง แต่แก๊สหุงต้มขึ้นราคา ค่าไฟฟ้าขึ้นเป็นอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ไข่ไก่ก็ขึ้น บะหมี่สำเร็จก็จะขอขึ้น ตอนนี้รัฐบาลก็ยังดูแลอยู่ ผมว่าสิ่งต่าง ๆ มันเริ่มสะท้อนถึงสถานการณ์ของผลกระทบจากเรื่องน้ำมันแพง แก๊สแพง เรื่องต้นทุนสินค้าราคาแพง เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมันก็จะรวม ๆ กันทําให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าต่าง ๆ มีราคาแพงขึ้น สูงขึ้นก็เริ่มมีเกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน
วันนี้คนไทยต้องไม่ทิ้งกัน เราถึงจะอยู่ได้ ฉะนั้นวันนี้ก็ต้องทํากันทั้งสองทาง คือ 1.อย่าให้ของแพง 2.กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ ร้านอาหารต่าง ๆ อยู่ได้ ก็คือการสร้างกําลังซื้อภายในประเทศ คือคนไทยออกมาช่วยกัน ใช้จ่ายอะไรบ้าง ตามที่เราพอมี สร้างกําลังซื้อไปในประเทศ แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไงก็จะเป็นหลักเศรษฐกิจของประเทศ เพราะฉะนั้นอย่าให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่เรียกว่าห่วงโซ่การผลิต หรือ SME เขาเสียหาย อย่าให้เขาจมน้ำ อย่าให้เขาหายไป รักษาเอาไว้ให้ได้ในช่วงนี้
นายสุวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องอาหารถือว่าเป็น Soft Power มันมีอยู่ในการท่องเที่ยว และเป็นวัฒนธรรมของอาหารการกิน พอพูดถึงเมืองไทยเรื่องอาหาร อันดับหนึ่งของเมืองไทย เมืองท่องเที่ยว ทุกคนก็จะนึกถึงอาหารไทย นึกถึงต้มยํากุ้ง, แกงมัสมั่น, ผัดไทย, ส้มตํา นึกถึงสตรีทฟู้ด นี่คือเสน่ห์ของเมืองไทย เป็นจุดขาย คนที่มาเที่ยวเมืองไทยบางทีก็อาจจะนึกถึงมิชลินสตาร์ (Michelin Star) แต่ว่าส่วนใหญ่มาเมืองไทยเขาชอบที่จะมาเจอของจริง สตรีทฟู้ด ร้านอาหารโฮมเมด ยิ่งทำกันมาสองสามชั่วอายุคนอันนี้เป็นสิ่งที่เป็นเสน่ห์ ฉะนั้นเราต้องรักษาเสน่ห์
อย่างเมืองหัวหินใครมาเมืองหัวหิน ก็ต้องนึกถึงโจ๊กต้นโพธิ์ หัวหิน, เจ็กเปี๊ยะ, ลอดช่องนายดํา, ก๋วยเตี๋ยวปลานายหอย, ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ, ตะโก้เสวย ร้านเบญจพงศ์, ไก่ทอดแถวรถไฟ สิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่ทําให้คนมาหัวหิน ก็ต้องไปกินพวกนี้คือจุดดึงดูดคนท่องเที่ยว
"วันนี้ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่ว่านักท่องเที่ยวก็เริ่มรู้จักอาหารไทย เขาก็แสวงหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะนี่คือเสน่ห์ของเมือง อย่าให้ร้านหนึ่งร้านใดหายไป ต้องช่วยกันรักษา นี่คือเสน่ห์ คือจุดขายด้านการท่องเที่ยว และการที่เราสร้างจุดท่องเที่ยวแล้วรวบรวมของดี ของอร่อยของแต่ละหมู่บ้าน แต่ละตําบล แต่ละอําเภอ แต่ละจุดท่องเที่ยว ภูเก็ตมีอะไรรวบรวมเอาไว้ สมุยมีอะไร โคราชมีอะไร เชียงใหม่มีอะไร พัทยามีอะไร ระยองมีอะไร แต่ละจุด ผมว่านี่คือเสน่ห์จริง ๆ ประเทศไหนก็ไม่เหมือนของคนไทย ขอให้เราภูมิใจ" นายสุวัจน์ กล่าว