ผู้ผลิตเหล็กเส้นอ่วม หลังต้นทุนไฟฟ้าพุ่งกว่า 50% จ่อปรับขึ้นราคาสินค้า
ผู้ผลิตเหล็กอ่วม แบกต้นทุนวัตถุดิบค่าไฟฟ้า สูงเกือบ 50% เล็งปรับราคาสินค้าเพิ่ม ตามต้นทุนที่เพิ่ม เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ระบุที่ผ่านมาไทยราคาสินค้าถูกกว่าต่างประเทศ แนะผู้รับเหมาทำสัญญาระยะยาว เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ ทนทาน ช่วยลดปริมาณ และต้นทุนการก่อสร้างได้
นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ต้นทุนการผลิตเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้ง ราคาวัตถุดิบ พลังงาน โดยเฉเพาะค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง ค่าแรง รวมทั้งได้รับผลจากการทุ่มตลาดของสินค้านำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กนั้นอยู่ในอัตราที่ต่ำเพียง 30 % เป็นเหตุให้ผู้ผลิตเหล็กจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม สินค้าเหล็กในการก่อสร้าง ได้แก่ สินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กรูปพรรณ เป็นสินค้าภายใต้การกำกับดูแลของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นผู้บริโภคสามารถมั่นใจในระดับหนึ่งว่าการปรับราคานั้นสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง
สำหรับราคาเศษเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กเส้นในปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 658 ดอลลาร์ต่อตัน ปรับเพิ่มขึ้น 42% จากปี 2564 ที่มีราคาอยู่ที่ 464 ดอลลาร์ต่อตัน ประกอบกับค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานหลักในการหลอมเศษเหล็กได้ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 700-800 บาทต่อตัน โดยต้นทุนด้านพลังงานนั้นส่งผลกระทบทั่วทุกธุรกิจ แม้กระทั่งผู้ผลิตเหล็กหลักของโลกอย่างประเทศตุรกี ก็ได้ประกาศขึ้นราคาเหล็กแล้วตันละ 20-40 ดอลลาร์ รวมทั้งการประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
“ที่ผ่านมาผู้ผลิตสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต จะถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้รับเหมาจากการปรับราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2564 แต่หากพิจารณาระดับราคาของสินค้าเหล็กเส้นฯ ในประเทศเทียบกับประเทศต่างๆ แล้วจะพบว่าสินค้าเหล็กเส้นฯ ของไทยมีราคาต่ำกว่าสินค้าของประเทศอื่นมาก"
ตัวอย่างเช่น ในช่วงกลางปี 2564 ประเทศสิงคโปร์ ราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ 738 ดอลลาร์ต่อตัน ประเทศตรุกีมีราคาเหล็กเส้น 740 ดอลลาร์ต่อตัน และประเทศจีนมีราคาเหล็กเส้น 852 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ประเทศไทยเสนอขายที่ 699 ดอลลาร์ต่อตัน และในยุคโควิดขณะที่ประเทศอื่นประสบปัญหาไม่สามารถนำเข้าสินค้า สินค้าขาดแคลน และมีราคาสูงเกินจริง แต่ประเทศไทยยังมีผู้ผลิตภายใน คานอำนาจสินค้านำเข้าได้ จึงไม่ประสบกับปัญหาเหมือนกับประเทศต่างๆ
นายประวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับราคาเพิ่มขึ้น อาจมีผลกระทบไปยังผู้รับเหมาก่อสร้างได้ โดยผู้รับเหมาสามารถทำสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิต หรือ ยี่ปั้ว ในการซื้อสินค้าสำหรับงานนั้นๆ รวมถึงพิจารณาถึงการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนให้มีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ การเลือกซื้อและเลือกใช้เหล็กคุณภาพสูง เช่น การเลือกใช้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตชั้นคุณภาพ SD50 แทนชั้นคุณภาพ SD40 ที่สามารถลดปริมาณการใช้เหล็ก เป็นอีกทางเหลือหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนของผู้รับเหมาฯ ลดลง โดยเหล็กชั้นคุณภาพ SD50 รับแรงได้ดีกว่า SD40 หากใช้เหล็กทั้ง 2 ชนิดในโครงการเดียวกันการใช้ SD50 จะประหยัดการใช้ปริมาณเหล็กมากกว่า
รวมถึงการใช้เหล็กตัดและดัดสำเร็จรูปที่สามารถลดการสูญเสียหางเหล็ก และลดการใช้แรงงานในการตัดและดัด อีกทั้งทำให้โครงการสามารถแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วขึ้น