เปิดใจ “วิรัตน์ เอื้อนฤมิต” ก่อนอำลาตำแหน่ง CEO ไทยออยล์
เปิดใจ “วิรัตน์ เอื้อนฤมิต” ก่อนอำลาตำแหน่ง “CEO ไทยออยล์” ชี้สนุกกับงานจนลืมว่าถึงเวลาที่ต้องเกษียณ “วิกฤติโควิด-ราคาพลังาน” ท้าทายความสามารถ พร้อมส่งต่อซีอีโอใหม่สานต่อกลยุทธ์องค์กรรับ New S-Curve คาดค่าการกลั่นทั้งปีอยู่ระดับ 7-8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์ขับเคลื่อนองค์กรรับมือการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจผ่านกลยุทธ์ 3V’s ประกอบด้วย 1.Value Maximization: Integrated Crude to Chemicals การบูรณาการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากธุรกิจโรงกลั่นสู่ธุรกิจปิโตรเคมี เช่น อะโรเมติกส์ โอเลฟิน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์ และเสริมความสามารถในการแข่งขันของไทยออยล์ เช่น การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่นและขยายกำลังการกลั่นจาก 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของธุรกิจปิโตรเลียม
ถือเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ทำให้ต่อยอดไปธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Product หรือ HVP) ล่าสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. 2565 การดำเนินการตามโครงการ CFP มีความคืบหน้าอยู่ที่ 87% และคาดว่าจะสามารถทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2567 และ สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบในปี 2568 และจะเป็น Golden Period ของโรงกลั่น
รวมถึงการเข้าไปลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) เป็นบริษัทผู้ผลิตปิโตรเคมีชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย ไทยออยล์ได้ร่วมลงทุนใน CAP ในปี 2564 และก้าวเข้าสู่ธุรกิจโอเลฟินได้อย่างรวดเร็วและทำให้โครงสร้างธุรกิจครอบคลุมธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีได้อย่างสมบูรณ์ สร้างโอกาสการเติบโตในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงมาก เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ การลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ถือเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายในเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ Value Maximization: Integrated Crude to Chemicals บริษัทฯ สามารถต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียมที่มีการลงทุนในโครงการ CFP ไปยังธุรกิจปิโตรเคมี ผ่านการลงทุนใน CAP (CAP1+CAP2) โดยบริษัทฯ มีโอกาสที่จะสร้าง Synergy Value จากการ supply feedstock ทั้ง LPG และ naphtha ให้กับ CAP หลังจาก CFP เริ่มดำเนินการ
และ กลยุทธ์ Value Enhancement: Expand market share in target countries โดยจะมุ่งเน้นการขยายตลาดในภูมิภาค โดยบริษัทฯ ได้รับสิทธิการเป็น distribution Polymer & liquid product ของ CAP ผ่านบริษัท PT. Tirta Surya Raya (TSR) (ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 77.7%) ถือเป็นการขยายตลาดสู่ประเทศอินโดนีเซีย
"คาดว่า โครงการขยายกำลังการผลิต CAP2 จะมี Final Investment Decision (FID) ภายในไตรมาส 4/2565 จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569 ซึ่งโครงการนี้มีมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบริษัทถือหุ้น 15% และปีที่ผ่านมาได้ใส่เงินลงทุนเข้าไปแล้วประมาณ 913 ล้านดอลลาร์ โดยหากตัดสินใจ FID โครงการ CAP2 ก็จะใส่เงินเข้าไปอีกประมาณ 270 ดอลลาร์"
2.Value Enhancement: Integrated Value Chain Management การบูรณาการขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค เน้นตลาดที่มีความต้องการสูงเพื่อเข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งมีการเจริญเติบโตสูง รวมถึงเพิ่มโอกาสในการลงทุนในประเทศเหล่านี้ เพื่อเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของ End user มากขึ้น
3.Value Diversification: การกระจายการเติบโตสู่ธุรกิจที่มีความมั่นคงของผลกำไร เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ผ่านการเจริญเติบโตในบริษัท GPSC รวมถึงแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต เช่น Biojet, Bioplastics/ biochemicals, Blue/green hydrogen โดยใช้กลไกการลงทุน 2 แบบ ได้แก่ การลงทุนผ่าน Corporate Venture Capital และการลงทุนในรูปแบบ JV และ M&A
สำหรับค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ระดับ 7-8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นรวมเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 8-9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ผลการดำเนินงานและกำไรปีนี้เติบโตขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน หลังจากช่วงครึ่งแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิสูงสุด 32,510 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 2/2565 ที่ทำสถิติสูงสุดที่ 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการกลั่นฯอยู่ที่ระดับกว่า 100% ของกำลังการกลั่น
“ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ซีอีโอถือว่าสนุกมาก จนลืมว่า 30 ก.ย. 2565 จะถึงเวลาต้องเกษียณแล้ว ส่วนตัวไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่มาเป็นซีอีโอ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติโควิด-19 และวิกฤติราคาพลังงาน ถือว่าเป็นความท้าทายความสามารถ และพร้อมปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าการทำภารกิจต่างๆ อย่างเต็มที่และตั้งใจทำ โดยพร้อมจะส่งต่อกลยุทธ์ดังกล่าวต่อซีอีโอท่านใหม่ เพื่อผลักดันองค์กรให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ ที่ต้องการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”