รัฐเข็นแพ็กเกจ 'กระตุ้นเศรษฐกิจ' ต่อคนละครึ่ง- ฟื้นช้อปดีมีคืน เป้า GDP 3.3%
“สุพัฒนพงษ์” เผยเม็ดเงินช่วยน้ำท่วม – กระตุ้นเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายปลายปี 65ช่วยดันจีดีพีแตะ 3.3% ตามที่ ธปท.คาดการณ์ ครม.ไฟเขียว 35 มาตรการเยียวยาน้ำท่วมในส่วนคลัง – ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (18 ต.ค.) ได้มีการหารือกันถึงมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะใส่เม็ดเงินลงไปเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในช่วงปลายปี 2 ส่วนได้แก่
- มาตรการเยียวยาน้ำท่วม
โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย ไปสำรวจความเสียหายของประชาชนที่ต้องได้รับการเยียวยาว่าจะต้องมีการเยียวยาทั้งหมดกี่ครัวเรือน เนื่องจากมีครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นวงกว้าง
หลักเกณฑ์การเยียวยา จะไม่น้อยกว่าการช่วยเหลือในปี 2560 ที่ครัวเรือนละ 3,000 บาท ซึ่งจะมีการสรุปวงเงินที่ช่วยเหลืออีกครั้งในการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ไปดูแหล่งเงินต่างๆที่ยังสามารถรวบรวมมาเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนที่ ประสบภัยน้ำท่วม เช่นการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของหน่วยงานต่างๆที่อาจจะยังสามารถทำได้ รวมถึงเงินทดรองราชการต่างๆที่เคยมีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณที่ผ่านมาๆว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไรให้ดำเนินการในหลักการเดียวกันเพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ต่างๆ
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี นี้กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่างการรวบรวม ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีมาตรการที่คล้ายๆกับในปีที่ผ่านมา เช่น การต่ออายุมาตรการคนละครึ่ง มาตรการช็อปดีมีคืน ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เงินงบประมาณบางส่วนและเงินที่เหลือจากโครงการครั้งก่อนที่ยังมีเงินเหลืออยู่ ซึ่งจะมีความชัดเจนในช่วงประมาณกลางเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แม้ว่าในภาพรวมปีนี้เศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้
“วงเงินงบประมาณที่จะลงไปในระบบเศรษฐกิจทั้งจากมาตรการเยียวยาน้ำท่วม และการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีจะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 3.3% ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ไว้ โดยในส่วนของการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโดยคาดว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยจะมีประมาณ 10 ล้านคน”
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุม ครม.รับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยปี 2565 ของกระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล รวม 35 มาตรการ ประกอบไปด้วยการช่วยเหลือของกระทรวงการคลัง 6 หน่วยงาน รวม 14 มาตรการ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 21 มาตรการ
เคาะ 35 มาตรการช่วยน้ำท่วม
- มาตรการของกระทรวงการคลัง ได้แก่
1.กรมสรรพากร ประกอบด้วย มาตรการลดหย่อนภาษี : บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนได้ 1 เท่าแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมิน กรณีบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หักรายจ่ายเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคได้ 1 เท่า แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ สำหรับการบริจาคให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล รวมทั้งการบริจาคผ่านบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้วย ซึ่งในกรณีหลังนี้ ผู้ประกอบการยังได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริจาคสินค้าด้วย
มาตรการยกเว้นภาษี : บุคคลธรรมดาและบริษัทนิติบุคคล ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ กรณีได้เงินชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาล เงิน/ทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคหรือช่วยเหลือ ไม่เกินมูลค่าความเสียหาย และสินใหม่ทดแทนที่ได้รับจากบริษัทประกันภัย
มาตรการระยะเร่งด่วน ได้แก่ ขยายระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีหรือนำส่งภาษี และการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน จากเดิมที่ต้องยื่นหรือขอภายในเดือนตุลาคม 2565 และเดือนพฤศจิกายน 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565
มาตรการในระยะถัดไป : บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซ่อมแซอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับความเสียหายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทและ ค่าซ่อมแซมรถตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท
2. กรมศุลกากร : ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อบริจาคให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 2565
3. กรมสรรพสามิต : ขยายกำหนดเวลายื่นงบเดือนสำหรับ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้ประกอบกิจการสถานบริการในจังหวัดที่มีการประกาศเขตพื้นที่ประสบอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน - 31 ตุลาคม 2565 จากเดิมในเดือนตุลาคม 2565 ออกไปเป็นภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565
4. กรมบัญชีกลาง : ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศให้ท้องที่เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน สามารถใช้จ่ายเงินทดลองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจังหวัดสามารถขอขยายวงเงินทดรองราชการเพิ่มเติมต่อกระทรวงการคลัง ในกรณีที่วงเงินทดรองราชการไม่เพียงพอได้
5. กรมธนารักษ์ : ยกเว้นค่าเช่าสูงสุด เป็นระยะเวลา 2 ปี สำหรับที่อยู่อาศัยที่เสียหายทั้งหลังและที่อยู่อาศัยที่เสียหายบางส่วน ยกเว้นค่าเช่า 1 ปี และในกรณีที่ไม่สามารถชำระค่าเช่าให้ยกเว้นการคิดเงินเพิ่มเติมตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในราชพัสดุพ.ศ. 2552
6.การยาสูบแห่งประเทศไทย : ช่วยเหลือพนักงานยาสูบและครอบครัว ตามหลักเกณฑ์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการดำรงชีพและความเสียหายของทรัพย์สินหรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้มีผล ตั้งแต่ ตามประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- มาตรการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่
1.ธนาคารออมสิน จำนวน 5 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการพักชำระหนี้
โดยสามารถเลือกชำระเฉพาะดอกเบี้ยร้อยละ 10 – 100 และกรณี อยู่ระหว่างจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญาแบบคงที่ สามารถขอลดการชำระเงินงวดร้อยละ 50 ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
- มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปีโดยปลอดชำระค่างวด 3 งวดแรก สำหรับบุคคลธรรมดา เพื่อเป็นเงินทุนในการดำรงชีพ และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท
- มาตรการสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs ที่ประสบภัยพิบัติ
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 ปี โดยปลอดชำระเงินต้นในปีแรก สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย วงเงินกู้สูงสุดร้อยละ 10 ของวงเงินกู้เดิมหรือไม่เกิน 5 ล้านบาท
- มาตรการสินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49 เป็นระยะเวลา 3 ปี สำหรับ ลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ไต้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ร้อยละ 100 ของหลักประกัน ประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์ในการบรรเทาความเดือดร้อนจากมาตรการสินเชื่อบุคคลแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 เป็นระยะเวลา 3 ปี สำหรับ อุทกภัย วงเงินกู้รายละไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้ สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ประกาศภัยพิบัติ
2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 3 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการขยายระยะเวลาชำระหนี้ สูงสุด 12 เดือน
โดยไม่คิดดอกเบี้ยปรับ สำหรับเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
- มาตรการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2565 - 2566
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน และร้อยละของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimnum Retail Rate : MRR) หรือประมาณร้อยละ 6.5% ต่อปี ตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท
- มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MRR - 2 หรือประมาณร้อยละ4.5 ต่อปี
เพื่อเป็นค่าซ่อมแชมบ้านเรือนและทรัพย์สิน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
3.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 4 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการลดเงินงวดและลดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 50 จากเงินงวดที่ชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้เหลือร้อยละ 3 ต่อปี
เป็นระยะเวลา 6 เดือน กรณีหลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหาย และอยู่ระหว่าง จ่ายดอกเบี้ยตามสัญญาแบบลอยตัว
- มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 1 ปี
กรณีปลูกสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิม หรือกู้ซ่อมแชมอาคารที่ได้รับความเสียหาย โดยกำหนดวงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อหลักประกัน สำหรับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่
- มาตรการประนอมหนี้ สำหรับลูกค้าที่ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน หรือมีสถานะอยู่ระหว่างประนอมหนี้
กรณีหลักประกันเสียหาย ได้รับการปลอดดอกเบี้ยและเงินงวด 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 – 18 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี กรณีได้รับผลกระทบต่อรายได้ ได้รับการปลอดดอกเบี้ยและเงินงวด 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 – 12 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี กรณีเสียชีวิตหรือผู้กู้หรือทายาทผ่อนชำระต่อ ได้รับอัตราดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาที่คงเหลือร้อยละ 0.01 ต่อปี กรณีหลักประกันได้รับความเสียหายทั้งหลังไม่สามารถซ่อมแซมได้ ได้รับปลอดหนี้ ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือ ภัยธรรมชาติ สำหรับลูกหนี้ที่เป็นผู้ประสบภัย
- มาตรการสินไหมเร่งด่วน
จะได้รับค่าสินไหมเร่งด่วนกรณีพิเศษ กรณีทำกรมธรม์ประกันอัคคีภัย ซึ่งคุ้มครอง ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2565
4.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ พักชำระเงินต้น เป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเขตพื้นที่ที่ธนาคารกำหนด
- มาตรการสินเชื่อ SMEs Re Start อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 5.5 ต่อปี ปลอดระยะเวลาชำระเงินต้น 2 ปีวงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท
5.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) จำนวน 1 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย 2565
ได้รับการพักชำระหนี้เงินต้น ชำระเฉพาะกำไร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน และได้รับการยกเว้นค่าชดเชยผิดนัดชำระ (Late charge) ที่สำหรับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เป็นลูกค้าสินเชื่ออุปโภคบริโภค ทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน หรือสินเชื่อธุรกิจแบบมีกำหนดระยะเวลาของ ธอท. (Term Financing) ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอ
เข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่31 ธันวาคม 2565
6.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 4 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการเพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุดร้อยละ 20 ของวงเงินหมุนเวียนเดิมแต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท
- มาตรการเพิ่มวงเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยชั้นต่ำ (Pime Rate) หรือประมาณร้อยละ 5.75 โดยปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 3เดือน วงเงินกู้เพิ่มเติมสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท
- มาตรการลดเงินต้นและดอกเบี้ย สูงสุดร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 1 ปี
- มาตรการขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180 วัน
ทั้งนี้ หากลูกค้าชำระหนี้ได้ปกติ จะได้รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยคืน (Rebate) ร้อยละ2 ต่อปี โดยสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
7.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีมาตรการช่วยเหลือจำนวน 2 มาตรการ ได้แก่
- มาตรการพักชำระค่าธรรมนียมการค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ปัจจุบันของ บสย. ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ปี 2565
- มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ บสย. สามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้ และลดอัตราดอกเบี้ยได้ต่ำสุด ร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 7 ปี