สศช. มองเศรษฐกิจโลกปี 2566 ยังคงชะลอตัว แนะการลงทุนยังคงมีความเสี่ยง
สศช. มอง เศรษฐกิจโลกปี 2566 ยังคงชะลอตัว จับตา “เงินเฟ้อ-สงครามการเมือง” ย้ำการลงทุนยังคงมีความเสี่ยง ส่วนเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวในกรอบ 3-4% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว คาดมียอดนักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคน หนุนรายได้ 1.2 ล้านล้าน
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย 2023 ในงาน WEALTH FORUM ลงทุนอย่างไรให้รวย # ปี3 จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ “ฐานเศรษฐกิจ” และ “เนชั่นทีวี” ว่า การลงทุนมีความเสี่ยงไม่ว่าจะยังไงก็ยังเสี่ยง แต่การลงทุนก็เป็นเรื่องที่ดีแต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เราจะลงทุนไม่งั้นอาจเสียโอกาส
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2565 ขยายตัว 4.5% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 แม้ไตรมาส 2 จะไม่ดีมากเพราะเผชิญปัญหา supply chain ของภาคอุตสาหกรรมหดตัว บวกกับราคาน้ำมัน และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยโตมาจากหลายตัว อาทิ อุปโภค-บริโภคภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน ภาคการผลิต และการท่องเที่ยว เป็นต้น
“กิจกรรมทางเศรษฐกิจประเทศตอนนี้เข้าสู่ภาวะปกติและคงฟื้นตัวขึ้นมาได้เรื่อย ๆ และรายจ่ายภาครัฐด้านสาธารสุขจะหายไปเนื่องจากประเทศไทยได้ประกาศเกี่ยวกับโรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหลายประเทศก็ได้เปิดการท่องเที่ยวจะเห็นว่าสายการบินไปญี่ปุ่นหาเที่ยวบินยากมากในช่วงนี้ จึงอยากให้ประชาชนเที่ยวในประเทศก่อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ”
นายดนุชา กล่าวว่า ปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาที่ต้องติดตามและเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาในแง่ของเศรษฐกิจโลก เพราะขณะนี้อัตราการเจริญเติบโตของอเมริกาเศรษฐกิจหลักยังคงลดลง และมีแนวโน้มจะไม่โตอย่างที่คาดไว้ ส่วนประเทศเกิดใหม่และประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเวียดนามหรือมาเลเซียโต 2 ดิจิต ส่วนเศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในลำดับจะ Top 20-30 ของโลก แต่การที่เราจะขยายตัวขนาด 2 ดิจิต หรือ 7-8% ในช่วงถัดไป จะต้องอาศัยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจค่อนข้างมาก
“อัตราเงินเฟ้อหลายประเทศยังคงไม่ได้ แต่อเมริกาน่าจะเริ่มปรับตัวลงมาได้เล็กน้อย เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงปีหน้าเราต้องเผชิญกับเงินเฟ้อ ความขัดแย้ง ที่มีผลต่อราคาพลังงาน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนยังคงฟื้นตัวได้ช้า เพราะจากนโยบาย Zero covid และปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ยังแก้ปัญหาไม่ตก การฟื้นตัวจึงยาก ดังนั้น ในสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการสำหรับแนวโน้มปี 2566 จะโต 2.6% ปริมาณการค้าโลกยังคงชะลอตัวจากเดิมที่ปีนี้คาดว่า 4% ปีหน้าจะอยู่ที่ 2% ราคาน้ำมันยังคงอยู่ระดับสูง อาจมีบางช่วงขึ้นถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถ้าไม่มีการยิงกันอาจอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล”
สำหรับรายรับจากการท่องเที่ยวปีนี้จะอยู่ที่ 5.7 แสนล้านบาท ยอดนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ปี 2566 จะอยู่ที่ 22 ล้านคนรายได้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท และหากจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการในการให้การเดินทางระหว่างประเทศนักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาในประเทศไทยครึ่งหลังของปี 2566 ดังนั้นเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่า GDP จะโต 3.2% ส่วนปีหน้าคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตที่ 3.5 ประมาณ 3-4% ส่วนเรื่องของเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบเป้าหมายได้ในปีหน้า ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดหากส่งออกได้และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจะทำให้ดุลบัญชีเงินสะพัดกลับมาเป็นบวกได้
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนหลักในปี 2566 คือภาคการท่องเที่ยว การลงทุนของภาคเอกชน ขณะเดียวกันแนวโน้มนักลงทุนต่างประเทศเริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะจากปัญหาตัวความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภูมิศาสตร์ทำให้ภาคธุรกิจมองหาการบริหารความเสี่ยงในการผลิตของตัวเองจึงมองประเทศที่เป็นกลาง ๆ อย่างประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยได้เตรียมในเรื่องของการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศไปบ้างแล้ว
นอกจากนี้ อีกส่วนสนับสนุนคือการบริโภคภายในประเทศจะช่วยพยุงเศรษฐกิจประเทศไปได้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น การว่างงานลดลง ส่วนภาคการเกษตรปีหน้าจะขยายตัวได้ดีเพราะปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นในปีนี้เพียงพอที่จะสนับสนุนภาคการเกษตร แม้ปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมียังต้องนำเข้า และมีราคาสูง รัฐบาลจะต้องดึงในเรื่องของการส่งเสริมเกษตรกรเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองในชุมชน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
“ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหลัก ๆ คือความขัดแย้งและมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจยังเกิดขึ้นในปีหน้า ดังนั้น ปัญหา supply chain ยังคงอยู่ ภาคธุรกิจจะต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงต้องเตรียมพร้อมบริหารความเสี่ยงการให้ข้อมูลประชาชนสำคัญ ส่วนปัญหาโควิด-19 ก็ยังทิ้งไม่ได้ เพราะเป็นเชื้อไวรัส”
ทั้งนี้ การบริหารเศรษฐกิจต่อไปนี้ จะต้องรักษาการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะเดียวกันจะต้องรีบปรับอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้อง อาทิ อำนวยความสะดวกการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนเข้ามาในเมืองไทย จะเห็นได้จากการที่ AWS เข้ามาลงทุน ประเทศไทยต้องคุยและปรับกฎระเบียบต่าง ๆ พอสมควร ซึ่งในระยะถัดไปสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะเปิดประตูรอให้ต่างชาติเข้ามาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ต้องมีทีมที่เข้าไปคุยเพราะในช่วงนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤติยังมีโอกาส ความขัดแย้งของต่างประเทศส่งผลให้ภาคธุรกิจที่เป็น Global Company ต้องหาเซฟโซนในการตั้งฐานการผลิต ดังนั้นประเทศไทยเป็นอีกที่สำคัญ จึงต้องพยายามดึงมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสำคัญที่เป็นอนาคตของประเทศ เช่น ชิปต้นน้ำ ที่จะต้องใช้ในเรื่องของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถ EV ดังนั้น ต่อจากนี้จนปี 2566 ต้องเร่งปรับโครงสร้าง กระจายการลงทุนออกไปในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ได้อนุมัติเพิ่มเติมทำให้เกิดการกระจายการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่เป็นภูมิภาคของประเทศ
“อย่าลืมว่าการลงทุนคือความเสี่ยง จะต้องดูให้ดีและปีหน้า ปัจจัยเสี่ยงอาจจะมีเพิ่มเติมก็ได้ ถือเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ ดังนั้น หน่วยงานเศรษฐกิจทั้งหมดกำลังช่วยกันมอนิเตอร์แลกเปลี่ยนข้อมูลตลอด เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและทุกคนจะไม่เจอวิกฤติ”