SCB แนะทยอยลงทุน 'ตราสารหนี้-หุ้นกู้'

SCB แนะทยอยลงทุน 'ตราสารหนี้-หุ้นกู้'

ปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันในปี 2566 คือ ความไม่แน่นอนเรื่องเงินเฟ้อ สะท้อนผ่านตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือนต.ค.ที่ผ่านมา แม้ชะลอตัวลง แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง

ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ ศรชัย สุเนต์ตา ระบุ ปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันในปี 2566 คือ ความไม่แน่นอนเรื่องเงินเฟ้อ สะท้อนผ่านตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือนต.ค.ที่ผ่านมา แม้ชะลอตัวลง แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง รวมทั้งธนาคารกลางทั่วโลกยังส่งสัญญาณไม่ประมาทเพราะยังไม่สามารถทำให้เงินเฟ้อกลับเข้ามาอยู่ในกรอบ ฉะนั้น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยได้อีกไปถึงไตรมาส 1 ปี 2566 

โดยคาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ของว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยระดับ 0.50-0.75% ซึ่งยังเป็นการขึ้นในระดับแรง ดังนั้น ผลกระทบที่จะตามมาหลังขึ้นดอกเบี้ยแบบนี้ส่งผลต่อกำลังซื้อของคนทั่วโลกชะลอตัว จากปัญหาเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศ เพิ่มความกังวลให้นักลงทุนอีก ซึ่งเป็นภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่ประเทศใดประหนึ่ง โดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่ สหรัฐ ยุโรป และจีน จะทำให้เกิดความกังวลของนักลงทุนว่าสิ่งที่ตามมาก็จะเห็นการหดตัวของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่มองเห็นตรงกันว่า การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูงขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับมุมมองเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากยาแรงที่เฟดใช้

สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนปีหน้าแนะนำจัดพอร์ตลงทุนลักษณะพอร์ตที่จะสร้างกระแสเงินสด เพราะว่าการสร้างกระแสเงินเป็นสิ่งที่นักลงทุนจับต้องได้ง่าย ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทน (รีเทิร์น) ตราสารหนี้ทั่วโลกต่ำมาก แต่วันนี้ผลตอบแทนตราสารหนี้สูงขึ้นจากเดิมมาก เป็นผลจากนโยบายดอกเบี้ยทั่วโลก ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้เป็นทางเลือกลงทุนที่ดี โดยเลือกลงทุนตราสารหนี้ที่มีอายุยาว เพราะให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีมาก 

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันน้อยลง จะทำให้มีการลงทุนใน Thematic investment funds ในอุตสาหกรรมและบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและธุรกิจเฉพาะทางมากขึ้น รวมทั้งธุรกิจที่สามารถเกาะกระแสการเติบโตของเมกะเทรนด์ในอนาคตได้ จะมีบทบาทและความน่าสนใจมากขึ้น


 

บล.กสิกรไทย ยกหุ้นไทย-จีน ผลตอบแทนเด่น

ด้านผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สรพล วีระเมธีกุล มองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 เดือนแรกปี 2566 จะสร้างผลตอบแทนที่ดี (Outperform) ด้วย 3 ปัจจัยคือ 1.เมืองไทยเปิดประเทศล่าช้า ซึ่งจังหวะที่เปิดประเทศคนอื่นๆ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะได้ท่องเที่ยวเข้ามาช่วยในช่วงใน 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่สหรัฐ-ยุโรปเปิดประเทศแล้วปีกว่าๆ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศอื่นเป็นขาลงแต่ไทยเป็นขาขึ้นแบบอ่อนๆ 

2.สถานการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET Index) คาดดอกเบี้ยสหรัฐยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งคาดว่าอยู่ในกรอบ 5.00-5.25% ในเดือนมี.ค. ซึ่งในยุโรปก็ต้องขึ้นตาม ส่วนไทยและจีนไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพราะประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งจากคาดการณ์เงินเฟ้อของไทยน่าจะเข้าในกรอบเป้าหมายไตรมาส 2 ปี 66 ดังนั้น เมื่อเงินเฟ้อไม่ได้เป็นปัจจัยกดดัน เหมือนประเทศฝั่งยุโรป หรือ สหรัฐ ฉะนั้น เงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัญหาของเมืองไทย สะท้อนว่าไม่มีความจะเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย เหมือนยุโรปและสหรัฐ ที่ดอกเบี้ยจะอยู่ระดับ 4-5% 

และ 3.มองว่าเศรษฐกิจจีนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่ง บล.กสิกรไทยเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีน เนื่องจากมองว่าประเทศจีนยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจการเงินและการคลังได้ ขณะที่ยุโรปและสหรัฐไม่สามารถกระตุ้นการเงินและคลังได้แล้ว เพราะว่าเงินเฟ้อระดับสูงกดดันอยู่ ดังนั้น ตลาดหุ้นที่จะดีอยู่ในช่วง 6 เดือนแรกปีหน้า มองว่ายังเป็นในกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยทาง บล.กสิกรไทย เลือกตลาดหุ้น “ไทย-จีน” ที่มีผลตอบแทนระดับน่าลงทุน และในครึ่งปีหลังปี 66 คาดฟันด์โฟลว์จะไหลกลับไปในตลาดประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ และ ยุโรป ขณะที่ในครึ่งหลังปี 66 ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจเข้ามา 

 

สำหรับ บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวก โดยเลือก 3 อุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือ 1.ธุรกิจความงาม มองว่าคนจีนน่าจะเข้ามาทำศัลยกรรมในไทยมากขึ้น 2. กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง มองตลาดปัจจุบันมีการเติบโตสูงมาก  โดยบล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวก โดยเลือก 3 อุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือ 1.ธุรกิจเสริมความงาม คาดว่าคนจีนจะเข้ามาดูแลความงามในไทย 2. อาหารสัตว์ ตลาดเติบโตมาก 3. กลุ่มเทคคอนเซาท์ 4.กลุ่มโรงไฟฟ้า 

ปีหน้ามองตลาดหุ้นจีน-ไทย มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในครึ่งปีแรก หลังจากนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวฟันด์โฟลว์จะไหลกลับ โดย 1,740 จุด หลังจากนั้นให้ทยอยขายทำกำไร เพราะไม่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะไปไกลกว่านี้