ดัชนีเชื่อมั่น SME ปรับเพิ่มรับไฮซีซั่น วอนรัฐช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ
สสว. เผยดัชนีเชื่อมั่น SME เดือนต.ค. 2565 ปรับเพิ่มต่อเนื่องเดือนที่ 3 อยู่ที่ 53.1 ด้วยปัจจัยบวกด้านท่องเที่ยว แต่มีสัญญาณแผ่วของกำลังซื้อ วอนรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ลดภาระต้นทุน มาตรการเงินเยียวยาตรงจุด
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) ประจำเดือนต.ค. 2565 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ค่าดัชนี SMESI อยู่ที่ระดับ 53.1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.9 และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งมีปัจจัยบวกมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นสำคัญ
อีกทั้งราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อกำไรของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามเริ่มมีสัญญาณการทรงตัวของกำลังซื้อ โดยเฉพาะภาคการค้าที่มีความเชื่อมั่นชะลอตัวลง
ทั้งนี้ องค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลให้ค่าดัชนี SMESI เดือนต.ค. เพิ่มขึ้น ได้แก่ องค์ประกอบด้านกำไรและต้นทุน เมื่อพิจารณารายภาคธุรกิจ พบว่า ทั้งภาคการบริการและภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลมาจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะหมวดเสื้อผ้าและสิ่งทอที่รับตัดเสื้อผ้าออกงาน สกรีนเสื้อ ทำเสื้อทีม ได้อานิสงส์จากการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมไปถึงของที่ระลึก ยาดม ยาหอมที่เป็นที่นิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจขยายตัว
ส่วนภาคการค้าและภาคการเกษตรชะลอตัวลง โดยภาคการค้าส่วนหนึ่งมาจากยอดเงินกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ใกล้หมดลง รวมทั้งต้นทุนราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเฉลี่ยต่อครั้งลดลงทำให้รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มลดลง
ขณะที่ภาคการเกษตรชะลอตัวเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกหลายแห่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบการผลิตทำได้น้อยลง และผู้ประกอบการยังกังวลกับราคาปุ๋ยที่คงตัวอยู่ในระดับสูง
สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค เดือนต.ค. 2565 พบว่า ยังคงอยู่ในระดับเกินค่าฐานที่ 50 โดยภูมิภาคส่วนใหญ่ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งเหมาะสมกับการท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ร้านขายของฝากและของที่ระลึก รวมถึงสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าพื้นเมืองและยาสมุนไพร ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการจัดกิจกรรมงานเทศกาลและประเพณีในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เช่น งานบุญ เทศกาลแข่งเรือ งานงิ้ว เป็นต้น ส่งผลให้มีการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านรับตัดชุด/สกรีนเสื้อ
ส่วนภาคตะวันออกกำลังซื้อขยายตัวจากนักท่องเที่ยว และมีแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น และในภาคใต้ นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้ามาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยผ่านด่านชายแดน ส่งผลให้ธุรกิจในเขตชายแดนและในจังหวัดสงขลาขยายตัว
อย่างไรก็ตามธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร เนื่องจากหลายพื้นที่มีฝนตกต่อเนื่องและประสบปัญหาน้ำท่วม
ขณะที่ภาคกลาง และกรุงเทพฯและปริมณฑล ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเฉลี่ยต่อครั้งลดลง ประกอบกับสินค้าบางรายการมีราคาสูง รวมทั้งผลกระทบจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ของภาคกลาง และจากกำลังซื้อในเดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูงส่วนหนึ่งมาจากการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ อีกทั้งภาคธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งสินค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านอาหารและวัสดุก่อสร้าง
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ระดับ 54.6 จากการคาดการณ์ค่าครองชีพอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามทุกภาคธุรกิจยังมีความความเชื่อมั่นเกินค่าฐาน 50 สะท้อนว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นต่อธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวที่เป็นช่วง High season ทุกภูมิภาค
ทั้งนี้ จากการสอบถามธุรกิจ SME กับมุมมองภาวะเศรษฐกิจและแผนรับมือในปี 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SME เกือบ 50% มองว่าราคาสินค้า/ วัตถุดิบจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รองลงมา SME 38.7% มองว่า ราคาสินค้า/ วัตถุดิบจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ประมาณ 1-10% โดยส่วนใหญ่มองทิศทางภาวะธุรกิจจะดีขึ้นในปี 2566 ตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
ส่วนผู้ประกอบการที่มองว่าภาวะธุรกิจจะทรงตัวจากความผันผวนหลายปัจจัยทั้งราคา รายได้และสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนที่มองว่าจะแย่ลง โดยปัจจัยกระทบสำคัญมาจากราคาสินค้า/ วัตถุดิบที่จะฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภค
สำหรับปัจจัยกระทบทางลบที่ผู้ประกอบการกังวลว่าจะส่งผลต่อธุรกิจมากที่สุดคือ ด้านกำลังซื้อและรายได้ที่ชะลอตัว และราคาสินค้า/ วัตถุดิบแพง โดย SME บางรายคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวในสัดส่วนที่มากกว่า 80%
ทั้งนี้ หากภาวะเศรษฐกิจเกิดความผันผวนในปี 2566 ผู้ประกอบการมีแผนการรับมือในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายโดยการปรับเพิ่มราคาขายและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจส่งผลต่อความต้องการซื้อทั้งจากภาคธุรกิจและภาคประชาชน แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการ 55.3% ยังคงมีความคาดหวังว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปี 2565 นี้
สำหรับสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด คือ การกระตุ้นกำลังซื้อ ซึ่งมาตรการเพิ่มกำลังซื้อเดิมที่ SME ต้องการให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง คือ โครงการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิโครงการเราชนะและคนละครึ่ง รองลงมา คือ การให้ความช่วยเหลือในการลดภาระต้นทุนและค่าใช้จ่าย มาตรการเงินเยียวยาธุรกิจ โดยต้องการได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจมากขึ้น