‘สภานายจ้าง’หวั่นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 กระทบลงทุน-ส่งออก ฉุดขีดแข่งขันประเทศ
"สภานายจ้าง"ออกโรงค้านขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท หวั่นกระทบขีดสามารถแข่งขัน การส่งออก - การลงทุนประเทศ กระทบจีดีพี 2.5% ชี้ต้นทุนเพิ่มในหลายอุตสาหกรรม แรงงานได้ประโยชน์ไม่มาก เหตุแรงงานมีทักษะสูงค่าแรงมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวถึงนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำว่าเป็นนโนบายที่ถูกพรรคการเมืองนำมาเป็นนโยบายประชานิยมหาเสียงก่อนเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งอาจอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี พ.ศ.2566
จากการแสดงวิสัยทัศน์ของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาที่ประกาศนโยบายเศรษฐกิจหากเข้ามาบริหารประเทศต้องการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่ำเฉลี่ย 5% ต่อปี การผลักดันส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงานด้วยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาทและเงินเดือนของ ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขั้นต่ำอยู่ที่ 25,000 บาท/เดือน ภายในปี พ.ศ.2570 โดยนำไปผูกกับว่าค่าแรงที่สูงจะทำให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีเกียรติ ซึ่งประเด็นนี้ยังกังขาว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่
ก่อนหน้านี้ปี พ.ศ.2555-2556 พรรคเพื่อไทยสมัยนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ผลักดันค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศเป็นการปรับแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 141 บาทหรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 70-88% เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและการส่งออกชะลอตัว
ปัจจุบันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งประกาศใช้ 1 ตุลาคม พ.ศ.2565 มี 9 อัตราแต่ละจังหวัดไม่เท่ากันสูงสุดวันละ 354 บาท (มี 3 จังหวัด) ต่ำสุดวันละ 328 บาท (มี 5 จังหวัด) กทม.และปริมณฑลอัตราค่าจ้าง 353 บาทอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่พรรคเพื่อไทยชูเป็นประเด็นหาเสียงคือวันละ 600 บาทภายในปีพ.ศ. 2570
หากใช้อัตราค่าจ้างของกทม.และปริมณฑลเป็นฐานจะทำให้ค่าจ้างที่ต้องปรับขึ้นภายในห้าปีข้างหน้าวันละ 247-250 บาทหรือเฉลี่ยขึ้นปีละ 50 บาท ซึ่งค่าจ้างที่กล่าวก็ไม่ได้ระบุว่าเท่ากันทั้งประเทศหรือไม่ หากใช้เหมือนเมื่ออดีตคือเท่ากันทุกจังหวัดจังหวัดที่กระทบมากสุดคือกลุ่มจังหวัดที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์เศรษฐกิจ เช่น ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส, น่านและอุดรธานีซึ่งได้รับค่าจ้างวันละ 328 บาทจะต้องปรับค่าจ้างในอัตราที่สูง
จากตารางข้างต้นเป็นการสมมติฐานโดยใช้ค่าเฉลี่ยการปรับค่าจ้างห้าปีเพื่อให้ถึงเป้าหมาย 600 บาท/วัน กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานต่างด้าวปัจจุบันมีจำนวน 2,408,716 คน
ขณะที่แรงงานไทยที่รายได้ไม่เกินค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 1 ใน 3 ของลูกจ้างเอกชนทั้งหมดก็จะได้รับอานิสงส์เคยมีการสำรวจของสนง.สถิติแห่งชาติเมื่อหลายปีก่อนมีแรงงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ 2.11 ล้านคนหรือมากกว่า ส่วนใหญ่อยู่ในสถานประกอบการขนาดเล็ก (Micro Enterprise) ซึ่งลูกจ้างไม่เกิน 9 คน ผลกระทบของนายจ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและการปรับใช้เทคโนโลยี
นโยบายหาเสียงโดยใช้ค่าจ้างขั้นต่ำแบบประชานิยมไม่ใช่มีแต่พรรคเพื่อไทย ช่วงเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐ เคยชูนโยบายปรับค่าจ้าง 425 บาทแต่ไม่ได้นำมาใช้จริงเพราะมีการเปลี่ยนผู้บริหารพรรค ขณะที่พรรคเพื่อไทยผู้ที่นำเสนอแนวคิดเป็นเพียงวิสัยทัศน์ของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมไม่ใช่หัวหน้าพรรคคงต้องดูว่าทางพรรคจะประกาศเป็นนโยบายหาเสียงอย่างเป็นทางการหรือไม่ อย่างไรก็ตามจากนี้ไปคงเห็นหลายพรรคออกนโยบายหรือแนวคิดหาเสียงเชิงประชานิยมปรับค่าจ้างเพื่อ ชิงคะแนนเสียงจากผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบประมาณ 34 ล้านคน จำเป็นที่ภาคเอกชนจะต้องติดตามว่าจะมีการนำมาใช้จริงหรือไม่และต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์
ผลกระทบจากนโยบายประชานิยมหาเสียงค่าจ้างขั้นต่ำ
- กระทบฐานค่าจ้างและขีดความสามารถในการจ่ายค่าจ้าง ค่าจ้างขั้นต่ำเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนทั้งภาคการผลิต, การบริการ, ก่อสร้าง, โลจิสติกส์, ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, ที่พักอาศัย, ลูกจ้างในครัวเรือน, แรงงานเกษตรและประมงรวมถึงแรงงานต่างด้าว การปรับค่าจ้างแบบก้าวกระโดดจึงส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างที่เคยเกิดในอดีตปี พ.ศ 2555-2556
- ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนคือค่าจ้างแท้จริงของลูกจ้างสูงขึ้น ค่าจ้างแท้จริงคือรายได้ที่หักเงินเฟ้อเพื่อจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับลูกจ้าง แต่ในอดีตพบว่าค่าจ้างที่ก้าวกระโดดจะตามมาด้วยเงินเฟ้อราคาค่าของที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดดเช่นกันและมีข้อมูลว่าแรงงานส่วนหนึ่งที่อยู่ในสถานประกอบการขนาดเล็กและภาคเกษตร-ประมงถึงแม้ได้รับค่าจ้างตามกฎหมายก็ยังคงเป็นกลุ่มตกหล่นไม่ได้รับค่าจ้างเพิ่ม
3.กลุ่มนายจ้างที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น
- นายจ้างในภาคเกษตรและประมงซึ่งผลผลิตราคาต่ำทำให้ผลิตภาพแรงงานต่ำกว่าค่าจ้าง 7-11%
- กิจการโรงแรม, ร้านอาหาร ก่อสร้างที่ต้องใช้คนจำนวนมาก
- อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต (OEM) เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม, รองเท้ากีฬา, เครื่องหนัง, อาหารแปรรูป
- อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน
- ภาคการส่งออกอาจได้รับผลกระทบ ทั้งอุตสาหกรรมรับจ้างการผลิต อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรรวมถึง SME ขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากกว่าขนาดใหญ่ เคยมีการศึกษาผลกระทบค่าจ้างแบบก้าวกระโดดหลังจาก 1 ปีการจ้างงานของบริษัทขนาดเล็กเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดและอาจมีผลทำให้มีผลกระทบสัดส่วน GDP ลดลง2.5%
- การปรับค่าจ้างชี้นำ 600 บาทเป็นการทำลายโครงสร้างไตรภาคี ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาค่าจ้าง ขั้นต่ำในการพิจารณาของไตรภาคีถึงแม้บางครั้งภาคการเมืองจะเข้ามาก็ต้องชี้นำอยู่ในไตรภาคี การประกาศนโยบายเช่นนี้จะทำลายโครงสร้างค่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ความสามารถของนายจ้างและความเดือดร้อนของลูกจ้าง
- ค่าจ้างของผู้จบปริญญาตรีเป็นทางเลือกของนายจ้าง การชี้นำค่าจ้างแรงงานผู้จบปริญญาตรีจาก 15,000 บาทเป็น 25,000 บาทภายในห้าปีหรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 บาท หากเป็นการรับแรงงานใหม่ที่ไม่ต้องการคุณสมบัติที่ต้องการใช้ทักษะระดับปริญญาเป็นทางเลือกของนายจ้างที่อาจเลือกแรงงานในระดับที่ต่ำกว่าซึ่งค่าจ้างถูกกว่า
สรุปได้ว่าการคิกออฟของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาในการปรับค่าจ้างวันละ 600 บาทและปริญญาตรี 25,000 ภายในระยะเวลาห้าปีอาจไม่ชัดเจนว่าเป็นนโยบายของพรรคหรือขัดต่อกฎหมายกกต.ที่แทรกแซงไตรภาคีคณะกรรมการค่าจ้างหรือไม่ แต่อาจทำให้หลายพรรคการเมืองนำไปใช้หากเป็นจริงประเทศไทยอาจสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและการส่งออก
ผลดีจะตกไปอยู่กับประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียซึ่งจะส่งสินค้าราคาถูกกลับเข้ามาขายในประเทศ การว่างงานคงไม่ใช่ประเด็นเพราะไทยอัตราการเกิดต่ำและขาดแคลนแรงงานแต่หากอุตสาหกรรมย้ายออกไปลงทุนต่างประเทศและ/หรืออุตสาหกรรมในประเทศได้รับผลกระทบสินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านผลกระทบมากน้อยคงต้องติดตามต่อไป