NEX บุกตลาดรถรับ-ส่งพนักงาน หนุนใช้รถไฟฟ้ารับเทรนด์ลดโลกร้อน
NEX ส่งมอบมินิบัสไฟฟ้าให้ ATP30 ล็อตแรก 5 คัน นำร่องรับ-ส่งพนักงานเจ้าแรกในไทย หนุนลดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง รับเทรนด์ลดโลกร้อน พร้อมประเมินการใช้งาน 3 เดือนก่อนขยายผลกลุ่มลูกค้าโรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมที่จ่อคิวรอใช้บริการ
นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า จากกระแสความต้องการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (อีวี) ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทฯ ได้ส่งมอบรถมินิบัสไฟฟ้าล็อตแรก จำนวน 5 คัน ให้กับบริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับ-ส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการ โดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastiern Seaboard)
ซึ่งนับเป็นการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และในระยะยาวยังจะช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ ตลอดจนช่วยลดมลภาวะทางอากาศ และสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของภาครัฐที่มับ-ส่งการสนับสนุนให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ด้วย
สำหรับรถมินิบัสไฟฟ้าดังกล่าวเป็นรถขนาด 20 ที่นั่ง มีความยาว 7.3 เมตรกว้าง 2.16 เมตร และสูง 2.99 เมตร รัศมีวงเลี้ยงแคบสุด 8 เมตร น้ำหนักรถเปล่า 6,785 กิโลกรัม สามารถบรรทุกน้ำหนักรวม 9,000 กิโลกรัม ความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราความเร็วที่ประหยัดพลังงาน 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่ เป็นลิเธียม-ไอออน ฟอสเฟต ความจุแบตเตอรี่คือ ขนาด 114.5 kWh วิ่งได้ 180-200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
ด้านนายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการรถบัสไฟฟ้าแทนการใช้รถน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าสามารถช่วยลดต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิงลงได้ประมาณ 65-70 % ดังนั้นบริษัทฯ จึงตัดสินใจนำรถมินิบัสดังกล่าวไปใช้นำร่องในการให้บริการรับ-ส่งพนักงานของโรงงานรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย
หลังจากนั้นจะทำการประเมินเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อเก็บรายละเอียดทุกด้านจากการใช้งานจริง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการนำเสนอกลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความประสงค์จะทยอยเปลี่ยนรถรับ-ส่งพนักงานจากรถที่ใช้น้ำมันมาเป็นรถไฟฟ้าแทนในอนาคต เนื่องจากเวลานี้ลูกค้าของบริษัทมีแนวโน้มที่ต้องการเปลี่ยนจากรถน้ำมัน มาเป็นรถไฟฟ้ามากขึ้น
ขณะเดียวกันจากข้อมูลการทดสอบในเบื้องต้น ยังพบว่าการใช้รถบัสไฟฟ้าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงหนึ่งในสาม เมื่อเทียบกับรถบัสที่ใช้น้ำมันและเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์การปล่อยก๊าซจะเป็นศูนย์ ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการติดตั้งระบบโซล่ารูฟไปก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่าจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถฟลีตนี้ถึง 50% และคาดว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นในอนาคต