ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดทำการวันจันทร์(26ธ.ค.) เนื่องในวันคริสต์มาส
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการวันจันทร์(26ธ.ค.) เนื่องในวันคริสต์มาสต์ ขณะที่การซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปีนี้ โดยเหลือเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็จะปิดฉากปี 2565 ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าบรรยากาศในตลาดจะยังคงซบเซาเข้าสู่ช่วงปีใหม่
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวย่ำแย่ในปีนี้ โดยคาดว่าจะทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 3 ปีติดต่อกัน โดยขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 4% นับตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทรุดตัวลงมากกว่า 6% และ 8% ตามลำดับ
นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างระบุตรงกันว่า ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" อาจไม่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปีนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
"เรายังไม่เห็นวี่แววว่าซานต้าจะมาในปีนี้ โดยตลาดมีแต่ข่าวร้ายเต็มไปหมด และเฟดจะยังไม่ดำเนินการอะไรก่อนถึงเดือนก.พ.ปีหน้า และต่อให้ตลาดฟื้นตัวขึ้น แต่ก็คงไม่สามารถชดเชยช่วงติดลบจากสัปดาห์ที่แล้วได้หมด" นายหลุยส์ นาเวลลิเออร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Navellier & Associates กล่าว
ส่วนนางซิลเวีย จาบลอนสกี ซีอีโอและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Defiance ETFs กล่าวว่า นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟดกำลังเป็นอุปสรรคต่อการเกิดปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ในปีนี้
"เฟดกำลังปิดถนนขวางทางรถเลื่อนของซานต้า" นางจาบลอนสกีกล่าว
นางจาบลอนสกีระบุว่า ถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณอย่างเข้มงวดและชัดเจนว่า เขาไม่มีแผนที่จะชะลอ หรือหันเหทิศทางจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
"เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้นและยาวนานขึ้น และนโยบายการเงินจะเข้มงวดกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ตลาดจะถูกกดดันเป็นเวลานานขึ้นจากนโยบายของเฟด แม้มีการดีดตัวขึ้นชั่วคราวขานรับตัวเลข CPI ก่อนหน้านี้ แต่ท่าทีของเฟดจะทำให้ตลาดเผชิญภาวะผันผวนในระยะใกล้" นางจาบลอนสกี กล่าว
ด้านนายคริส ลาร์คิน นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่ช่วงปลายปี และนักลงทุนต่างก็รอคอยปรากฎการณ์ 'ซานต้า แรลลี่' แต่ขณะนี้ตลาดกลับร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนคาดหวังว่าการที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอาจจะทำให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนตลาด แต่เฟดและนายพาวเวลยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน"
ส่วนนายเอ็ด โมยา นักกลยุทธ์ด้านการตลาดอาวุโสของบริษัท Oanda ระบุว่า "เฟดใช้นโยบายการเงินอย่างเข้มงวด โดยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4% ภายในเวลา 9 เดือน ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่นายพาวเวลส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป"
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีหน้า ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิมของตลาด และจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ