แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยด้วยการปฏิรูปทั้งระบบ | วิทยากร เชียงกูล
การที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว (เติบโตช้าลง) มีผลกระทบต่อไทยมาก เพราะไทยใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการค้า และการลงทุนจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนต่อ GDP สูงเกินไป พึ่งเศรษฐกิจและตลาดภายในประเทศได้น้อยเกินไป
ไทยพึ่งการค้ากับประเทศใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป จีน มาก เมื่อเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้ชะลอตัว พวกเขาซื้อของจากไทยลดลง เช่น จีนเคยซื้อสินค้าขั้นกลางจากไทยไปผลิตสินค้าสำเร็จรูปขายในสหรัฐฯ ก็ซื้อจากไทยลดลง
เมื่อธุรกิจบางอย่างในไทยชลอตัว การค้าขายและการผลิตอื่นๆ ก็จะลดลงตามมา เกิดปัญหาคนมีรายได้ลดลง ตกงาน ฯลฯ
ปัญหาเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจไทย คือเป็นระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกึ่งผูกขาดโดยกลุ่มนายทุนใหญ่ มีการพัฒนาแรงงาน ทรัพยากร ภูมิปัญญาในประเทศน้อยไป
ทั้งๆ ที่ประชากรไทย 67 ล้านคน ใหญ่ราวลำดับที่ 21 ของโลก เล็กกว่าฝรั่งเศสและใหญ่กว่าอังกฤษ อิตาลีหน่อย แต่ขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยเล็กกว่าแต่ละประเทศทั้ง 3 นั้นหลายเท่ามาก
เทียบกับประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่แม้จะส่งออกและสั่งเข้ามูลค่ามากเช่นกัน แต่เทียบกับสัดส่วน GDP ของประเทศแล้วก็ยังต่ำกว่าของไทย ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวน้อยกว่าไทย
การที่เราทอดทิ้งคน 80% (52.8 ล้านคน) ให้มีการศึกษาค่อนช้างต่ำ ประสิทธิภาพการทำงานหรือผลิตภาพต่ำ รายได้ต่ำ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ขาดกำลังซื้อ
ตลาดภายในและเศรษฐกิจภายในประเทศจึงเล็ก เช่น ที่อยู่อาศัยระดับล่างขายไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่มีคนที่ต้องแอบอยู่ตามสลัม เช่าบ้านอยู่และอยากมีบ้านของตนเองหลายล้านคน แต่พวกเขาไม่มีรายได้มากพอที่จะซื้อหรือผ่อนส่งระยะยาว
ทางออกคือ คนไทยต้องกล้าคิดนอกกรอบการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมตะวันตก แทนที่จะหวังพึ่งแต่ต่างประเทศ ต้องหันมาพัฒนาแรงงาน ทรัพยากร และตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้น
เพราะการที่เศรษฐกิจทุนนิยมโลกชะลอตัว แต่ละประเทศจะปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เช่น ตัวกำแพงภาษี สั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นสดลง
เราควรเปลี่ยนนโยบายการพัฒนาประเทศใหม่ ลดการพึ่งการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศลง หันมาปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ปฏิรูปการคลัง การเงินการธนาคาร
เช่น เก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น ส่งเสริมสหกรณ์ออมทรัพย์ ธนาคารสหกรณ์และสหกรณ์ประเภทต่างๆ เพื่อลดการผูกขาดของธนาคารเพียงสิบกว่าแห่ง กระจายทรัพย์สิน รายได้ ความรู้สู่ประชาชนที่ยากจนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ตลาดภายในประเทศจะใหญ่ขึ้นได้หลายเท่า
ซึ่งหมายถึงขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเติบโตด้วยและขึ้นอยู่กับการผลิต การบริโภคภายในประเทศ มากกว่าการพึ่งพาการส่งออกและนักท่องเที่ยวต่างชาติมากไป (2 อย่างนี้คนรวยคนชั้นกลางได้ประโยชน์มากกว่าคนส่วนใหญ่ด้วย)
เราควรเก็บภาษีคนรวยและคนชั้นกลางในอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้น (เช่น ภาษีทรัพย์สินและรายได้กำไรจากทรัพย์สิน ภาษีมรดก ภาษีลากลอย ฯลฯ) กระตุ้นให้คนรวยคนชั้นกลางซื้อของและใช้สินค้าบริการภายในประเทศ
เช่น เก็บภาษีสินค้าสั่งเช้าประเภทฟุ่มเฟือยสูงขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้นเงินจะได้หมุนเวียนภายในประเทศ
คนรวยคนชั้นกลางไทยยังมีทรัพย์สินรายได้และกำลังซื้ออยู่มาก เช่น บ้านและรถยนต์ราคาสูงยังขายได้ดี เพราะคนรวยมีกำลังซื้อ แต่บ้านราคาต่ำหน่อยขายยาก รัฐบาลต้องช่วยเหลือ ทำให้ราคาบ้านสำหรับผู้มีรายได้ต่ำและดอกเบี้ยผ่อนส่งต่ำลง ผ่อนส่งได้ยาวนานขึ้น
ระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า คือ ระบบสหกรณ์ผู้ผลิตและผู้บริโภค ที่คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของร่วมกัน ธุรกิจที่เป็นของสหกรณ์และบริหารโดยสมาชิกและผู้แทนสหกรณ์
ย่อมคิดถึงประโยชน์และความปลอดภัย ความมั่นคงยั่งยืนของสมาชิกที่เป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน มากกว่าธุรกิจเอกชนของระบบทุนนิยมที่นายทุนส่วนน้อยคิดแต่หากำไรสูงสุดของเอกซน
เราอาจจะใช้ระบบผสม คืออยู่ร่วมกับทุนนิยมได้ แต่ต้องเป็นทุนนิยมที่มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม โดยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมาก ต้องไม่ปล่อยให้ทุนขนาดใหญ่ผูกขาด ค้ากำไรมากไป
สำหรับกิจการสาธารณูปโภคและกิจการที่ต้องใช้ทุนขนาดใหญ่ควรทำให้เป็นสหกรณ์ โดยรัฐบาลอาจร่วมลงทุนแบบรัฐวิสาหกิจ แต่ต้องปฏิรูประบบบริหารให้เป็นประชาธิปไตย มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสแบบสิงคโปร์ สวีเดน ฯลฯ
นอกจากนี้ก็ควรใช้ระบบรัฐสวัสดิการและชุมชนสวัสดิการ เก็บภาษีคนรวยและหารายได้จากสาธารณสมบัติของรัฐมาช่วยคนจน คนด้อยโอกาส คนที่อ่อนแอ เสียเปรียบควบคู่กันไปด้วย ช่วยให้คนส่วนใหญ่อยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตพอเพียงได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เสนอเป็นแค่คำขวัญลมๆ แล้งๆ
ส่วนการหารายได้จากการส่งออกและจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ควรจะเจาะจงเรื่องที่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรและฝีมือภายในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
เช่น อุตสาหกรรมเกษตร สิ่งทอ เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก อาหาร สมุนไพร ฯลฯ รวมทั้งดูแลให้มีการจ่ายคำจ้างแรงานและการกระจายรายได้สู่คนไทยส่วนใหญ่อย่างเป็นธรรมด้วย
สรุปคือ เราควรเปลี่ยนทั้งระบบเศรษฐกิจและนโยบายพัฒนาไปเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างทุนนิยม ที่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมของธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ระบบสหกรณ์ผู้ผลิต ผู้บริโภค ระบบรัฐสวัสดิการ และชุมชนสวัสดิการ
โดยเน้นการพึ่งตนเองหรือพึ่งเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น และเลือกการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศเท่าที่จำเป็นและเป็นธรรม เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่จริงๆ
ธุรกิจขนาดใหญ่ของไทย ที่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศและนำเงินเข้าประเทศได้ ก็ส่งเสริมให้พัฒนาต่อไปไห้
แต่ต้องมีการดูแลไม่ให้เอาเปรียบแรงานและผู้บริโภคในประเทศ ต้องเสียภาษีตามฐานรายได้/กำไร และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในเรื่องสภาพแวดล้อม ความปลอดภัยและเรื่องอื่นๆ ด้วย.