เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนปี 65 ทำไมคนไทย 37% ไม่พร้อมจ่าย ‘ภาษี’
การเสียภาษีถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของพลเมือง คนที่มีรายได้เข้าเกณฑ์เสียภาษีจะต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลใช้จ่ายในรายจ่ายประจำ จัดสวัสดิการ และพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตามผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยหน่วยงานภาครัฐคือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสวัสดิการของรัฐ พ.ศ. 2565 ที่เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบเมื่อเร็วๆนี้ โดยได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 6,970 คน ระหว่างวันที่ 17-31 ตุลาคม 2565 ในการสำรวจพบว่าในหัวข้อ
การจัดเก็บภาษีผู้ที่มีรายได้เพื่อนำมาจัดสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกช่วงวัย พบว่า
- ประชาชน 37.5% ไม่ยินยอมให้จัดเก็บโดยให้เหตุผลว่า
- ไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสียภาษี
- กังวลว่าการจัดสวัสดิการให้ประชาชนได้ไม่ทั่วถึง
- ไม่มีหลักเกณฑ์/กฎหมายที่แน่นอนที่จะรับประกันการจัดสวัสดิการให้
- ประชาชน 44.6% ที่ตอบคำถามว่ายินยอมให้จัดเก็บได้ โดยให้เหตุผลว่า
- เพื่อให้ได้สวัสดิการที่ครอบคลุมและทั่วถึง
- ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
- ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมในสังคม
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ประชาชนเสนอได้แก่
1.ควรจัดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น และลดการถูกทอดทิ้งไม่ให้อยู่เพียงลำพัง พร้อมทั้งจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการส่งเสริมคุณภาพชีวิต เช่น การจ้างนักศึกษาจบใหม่ที่มีภูมิลำเนาในหมู่บ้าน/ชุมชนเป็นอาสาสมัครร่วมกับเจ้าหน้าที่ อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าพี่พัฒนาสังคม และ อบต./เทศบาลในการช่วยดูแลศูนย์ และให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือดูแลกัน
2.ควรส่งเสริม/สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงช่องทางการบริการต่าง ๆ ของทุกหน่วยงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง รวมทั้งทำให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์
3.ควรสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนในการใช้สิทธิการรักษาพยาบาลทุกประเภทให้มีความเท่าเทียม ทั่วถึง และครอบคลุมในทุกพื้นที่ เช่น คุณภาพของยา การบริการและความสะดวกรวดเร็ว
4.ควรสนับสนุนให้มีสวัสดิการเรียนฟรีในทุกระดับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือน และทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
5.ควรส่งเสริม/สนับสนุนสวัสดิการในเรื่องคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนเพิ่มเติม เช่น ค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จัดศูนย์เด็กเล็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้สถานที่ทำงาน และจัดบริการขนส่งสาธารณะฟรีให้กับเด็ก/เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี
การใช้บริการสวัสดิการของรัฐด้านคุณภาพชีวิต เช่น เบี้ยยังชีพเด็กแรกเกิด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพคนพิการ พบว่า
- ประชาชนมากกว่าร้อยละ 97.0 ระบุว่าไม่มีปัญหาการใช้บริการ
- น้อยกว่าร้อยละ 3.0 มีปัญหา เช่น เงินไม่เพียงพอ ลำบากในการต้องไปถอนเงิน และเงินเข้าช้า
สวัสดิการของรัฐด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน “เรียนฟรีถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3” สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน พบว่า
- ร้อยละ 80.6 ระบุว่าสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก-มากที่สุด
- ร้อยละ 3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้น้อย-น้อยที่สุด/ไม่ช่วยเลย
การใช้บริการของรัฐด้านการรักษาพยาบาล ได้แก่ สิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่า
- ร้อยละ 97.0 ระบุว่าไม่มีปัญหาในการใช้บริการ
- ร้อยละ 2.0 มีปัญหา เช่น การบริการล่าช้ารอคิวนาน และต้องใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น
ความพึงพอใจในการใช้บริการด้านการรักษาพยาบาล ดังนี้
- ประเภทสถานพยาบาล พบว่า
ประชาชนที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลเอกชน
- ร้อยละ 76.8 มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด
- ร้อยละ 1.0 มีความพึงพอใจน้อย-น้อยที่สุด
ประชาชนที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ
- ร้อยละ 70.4 มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด
- ร้อยละ 3.6 มีความพึงพอใจน้อย-น้อยที่สุด
- สิทธิการรักษาพยาบาล พบว่า
- ประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพ/ประกันชีวิต ร้อยละ 86.5 มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด
- รองลงมา คือ สิทธิสวัสดิการข้าราชการ จ่ายเงินเอง สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสิทธิกองทุนประกันสังคมตามลำดับ
- สวัสดิการที่ประชาชนต้องการให้รัฐจัดเพิ่มเติม
- การสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ประชาชนร้อยละ 93.5)
- จัดสวัสดิการศูนย์เด็กเล็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในหน่วยงาน/ใกล้สถานที่ทำงาน (ประชาชนร้อยละ 87.6)
- จัดสวัสดิการขนส่งสาธารณะฟรีให้กับเด็ก/เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี (ประชาชนร้อยละ 85.9)
การลงทะเบียนโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 พบว่า ประชาชนที่ลงทะเบียนโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ
- ร้อยละ 84.2 ไม่ประสบปัญหาในการลงทะเบียน ขณะที่ประชาชน
- ร้อยละ 15.8 ประสบปัญหาในการลงทะเบียน ได้แก่ รอคิวลงทะเบียนกับหน่วยงานนาน เว็บไซต์ขัดข้อง/ล่ม และเดินทางไปหน่วยงานที่รับลงทะเบียนไม่สะดวก/อยู่ในพื้นที่ห่างไกล