‘สุพัฒนพงษ์’ แจงเอกชน ต้นทุนรวมธุรกิจไทย แข่งขันได้ในอาเซียน

‘สุพัฒนพงษ์’ แจงเอกชน ต้นทุนรวมธุรกิจไทย แข่งขันได้ในอาเซียน

“สุพัฒนพงษ์” ชี้ต้นทุนธุรกิจไทยแข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอาเซียน แนะเอกชนไม่ควรดูเฉพาะค่าไฟ ต้องดูต้นทุนรวม เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ไทยยังต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ มั่นใจเศรษฐกิจไทยไม่สะดุด แต่ต้องเร่งแก้ปัญหาหนี้ให้ครัวเรือน 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวว่าปัจจุบันต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวมของประเทศไทยในภาพรวมถือว่าไม่ได้สูงกว่าคู่แข่งและแข่งขันได้ แม้เอกชนจะมีมุมมองว่าต้นทุนการทำธุรกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะค่าไฟฟ้านั้นสูงกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนิเซีย แต่ในเรื่องนี้ขอให้ภาคเอกชนไทยมองในภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด เช่น ให้ดูเรื่องของอัตราดอกเบี้ยด้วยซึ่งเมื่อรวมแล้วไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่นๆ  

“หากจะมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยที่อยู่ที่ 1.5% สูงเกินไปก็ต้องไปดูประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ว่าอัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่  ทุกวันนี้เอกชนชอบเทียบค่าไฟ แต่ไม่เทียบอัตราดอกเบี้ย ซึ่งต้องดูต้นทุนการทำธุรกิจจริงๆทั้งหมดแล้วมาเปรียบเทียบกันเพราะส่วนที่ภาครัฐดูแลก็ทำไปหมดแล้ว ที่เหลือรัฐจะเชิญเอกชนร่วมหารือด้วยกัน จะไม่ขอไม่บ่นขอให้ช่วยทำ”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว  

ชี้ดอกเบี้ยไทยต่ำกว่าคู่แข่ง 

ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับที่ 4.50%- ที่ 4.50%-4.75% และเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ส่วนของประเทศไทยนั้นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าเป็นระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสม ๆไม่เป็นภาระกับผู้ประกอบการมากเดินไป โดยในเรื่องของดอกเบี้ยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ดูความเหมาะสม แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ต้องมาดูว่าเพราะดอลลาร์อ่อนหรือเปล่า อย่าไปมองแค่ประเทศไทยประเทศ เดียว ต้องมองภาพรวมหากค่าเงินแข็งกันทั่วโลกแสดงว่าดอลลาร์อ่อน เพราะเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเหมือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยสหรัฐฯไม่สูงทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้คนนำเงินไปฝากไม่มากเหมือนเมื่อก่อน 

“อะไรที่เราได้เปรียบไม่พูดกัน แต่ไปพูดแต่เรื่องไม่ดี   เพราะบ้านเรามีลักษณะที่แตกต่างจากบ้านอื่น แต่ไทยมีความเข้มแข็งกว่าประเทศอื่น เพราะสองปะเทศข้างต้นมีต้นทุกที่สูงกว่าบ้านเรา   

 เรื่องดอกเบี้ยต้องไปดูความสามารถในการแข่งขันด้วย เพราะหลายประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ยไปนานแล้ว โดยเวียดนามขึ้นไปกว่า 4% ขณะที่ของไทยดอกเบี้ยขึ้นไปเกือบ 2% แม้หลายคนจะมองว่าเงินบาทไหลออกแต่ไม่ได้ไหลออก แต่กลับแข็งค่าด้วยซ้ำไป เพราะเศรษฐกิจบ้านเราดีขึ้น การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น” 

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อด้วยว่าขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจไทยในภาพรวมไม่น่าห่วงเพราะภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว  ปัญหาใหญ่คือต้องเข้าไปดูแลคนมที่หนี้มีปัญหา มีหนี้ที่ยังค้างอยู่  และมีหนี้ครัวเรือนที่เป็นผลมาจากปัญหาอยู่โควิด -19 ต้องให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาซึ่งรัฐบาลพยายามดูแลในส่วนนี้อยู่