"อัครา" นับถอยหลังวันเปิดเหมือง ย้ำดำเนินการตามขั้นตอนโดยชอบด้วยกฎหมาย
"อัครา" เตรียมนับถอยหลังวันเปิดเหมือง ย้ำการดำเนินงานเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ท่ามกลางกระแสตอบรับจากชุมชนและเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้งบประมาณกว่า 600 ล้านบาท และพร้อมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง และได้ยื่นหนังสือแจ้งหน่วยงานรัฐที่เป็นผู้กำกับดูแลทราบเพื่อเข้ามาตรวจสอบว่าบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดครบถ้วนแล้ว เมื่อบริษัทฯ ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงจะสามารถเริ่มดําเนินการทําเหมืองได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎหมาย และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2566 ศาลปกครองสูงสุด (พิษณุโลก) ได้มีคำพิพากษา ให้ยกฟ้องคดีที่ผู้ประท้วงได้ฟ้องร้องต่อศาลโดยกล่าวหาว่าการออกประทานบัตร 5 แปลงในเขตจังหวัดพิจิตรนั้น ไม่ชอบด้วยกฏหมายด้วยประการต่าง ๆ
โดยศาลได้ชี้ว่า บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตามขั้นตอนและโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งรวมถึงประเด็นการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA และ EHIA) ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
"ซึ่งภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ประกาศเรื่องการรับสมัครพนักงานจำนวนกว่า 160 อัตรา เมื่อเดือนพ.ย. 2565 ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีผู้สนใจส่งใบสมัครมากว่า 1,700 คน ซึ่งเกินกว่าอัตราที่เราจะรับไว้มาก"
โดยแผนการดำเนินงานระยะแรกนั้นจะใช้โรงประกอบโลหกรรมที่ 2 เพียงโรงเดียว ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.7 ล้านตันต่อปี และภายหลังที่บริษัทฯ กลับมาดำเนินการไปแล้วสักระยะหนึ่ง จึงจะเริ่มซ่อมโรงประกอบโลหกรรมที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.3 ล้านตันต่อปี จากนั้นจึงจะรับพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้นต่อไป
สำหรับการคัดเลือกพนักงานนั้น บริษัทฯ พิจารณาผู้ที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เป็นอันดับแรก ในขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งก็เตรียมหาลู่ทางทำธุรกิจที่จะมารองรับเศรษฐกิจที่จะคึกคักขึ้นหลังจากที่เหมืองกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่เรามีส่วนช่วยให้สถาบันครอบครัวมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และผลกระทบเชิงบวกทางด้านสังคมเช่นนี้มีคุณค่ามหาศาลและไม่สามารถประเมินค่าได้”
กรณีที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาต่อต้านนั้น บริษัทฯ เชื่อว่าสาเหตุหลักเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีผู้ร้องเรียนหรืออ้างว่าได้รับผลกระทบด้านต่าง ๆ บริษัทฯ ไม่เคยนิ่งนอนใจ จัดให้มีการตรวจสอบทันที และให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบ
โดยการที่บริษัทฯ เตรียมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งนั้น บริษัทฯ มีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนรวมทั้งผู้ประท้วง โดยรับฟังข้อห่วงกังวลที่มี ตอบคำถามและชี้แจงให้เห็นถึงมาตรการด้านความปลอดภัยในการดำเนินงาน ซึ่งผู้ประท้วงมีความเข้าใจมากขึ้นและคลายความกังวลลง ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมาโดยตลอดว่า การอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันคือหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
สำหรับความคืบหน้าของกระบวนการอนุญาโตตุลาการ นายเชิดศักดิ์ ย้ำว่า การเจรจาไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่เป็นการเจรจาตามสิทธิที่บริษัทฯ และประเทศไทยควรได้ตามกฎหมาย โดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บริษัทฯ มั่นใจว่าเหมืองแร่ทองคำชาตรีจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและก่อให้เกิดผลทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจออกไปอีกหลายชั้นทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ซึ่งจากข้อมูลสถิติในอดีตพบว่า บริษัทฯ ได้ป้อนเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไทยไปแล้วกว่า 39,000 ล้านบาท ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การชำระค่าภาคหลวงและภาษี และการจ้างงาน โดยธุรกิจของบริษัทฯ ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี