'พิพัฒน์' เปิดนโยบายภูมิใจไทย เดินหน้าแลนด์บริดจ์ - เพิ่มรายได้ท่องเที่ยว
“พิพัฒน์”เปิดนโยบายเศรษฐกิจภูมิใจไทย เดินหน้าแลนด์บริดจ์ภาคใต้ 1.7 ล้านล้านบาท เชื่อม 2 มหาสมุทร ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย อาสาเป็น รมว.ท่องเที่ยวต่ออีกสมัย สานต่อเป้าท่องเที่ยวต่อให้ได้ 25% ของจีดีพี นักท่องเที่ยวเข้าไทย 70 ล้านคน รายได้ 6 ล้านล้าน ย้ำสโลแกนพูดแล้วทำ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วง 4 ปีข้างหน้า ทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย
โดยในส่วนของนโยบายที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พรรคภูมิใจไทยมีแผนที่จะขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) โดยสานต่อโครงการสะพานเศรษฐกิจ หรือแลนด์บริดจ์ (ชุมพร-ระนอง) ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคใต้เชื่อมโยงสองฝั่งทะเล (อ่าวไทย-อันดามัน) โดยพรรคภูมิใจไทยได้ส่งนโยบายไปที่คณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วว่า จะใช้งบประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นโครงการผูกพันใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 5 ปี
โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการด้านคมนาคมที่สำคัญเพื่อใช้เป็นพื้นที่คมนาคมแทนช่องแคบมะละกาที่มีความแออัด ซึ่งโครงการนี้จะไม่สร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่เน้นเรื่องศักยภาพการคมนาคม และให้เป็นทางเลือกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวระหว่างสองมหาสมุทรที่สามารถเดินทางผ่านประเทศไทยได้เร็วขึ้น และเข้ามาท่องเที่ยวและพักผ่อนในประเทศไทยได้ด้วย
สำหรับนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ พรรคภูมิใจไทยมีเป้าหมายที่จะผลักดันเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของประเทศที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 70 – 80 ล้านคน ภายในปี 2570 สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ปีละ 6 ล้านล้านบาท
สร้างรายได้ 6 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยว 70 – 80 ล้านคน ภายในปี 70 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า โดยพรรคภูมิใจไทยมีนโยบาย “หนึ่งจังหวัดหนึ่งร้อยล้านบาท” โดยจะจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาท่องเที่ยวจังหวัดละ 100 ล้านบาท ใน 77 จังหวัด รวมงบประมาณ 7.7 พันล้านบาท โดยกองทุนนี้จะทำหน้าที่ในการสนับสนุนงบประมาณในการดึงงานระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย ทั้งงานเทศกาล งานอีเวนท์ หรือการแข่งขันกีฬานานาชาติที่มีผู้สนใจจำนวนมากซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศและท้องถิ่นได้
ทั้งนี้แหล่งเงินที่จะเข้ามาสนับสนุนในเรื่องการท่องเที่ยว ที่มีรายได้จากค่าเหยียบแผ่นดินที่จะดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนก.ย.นี้เป็นต้นไป โดยหักค่าใช้จ่ายด้านการประกันภัยนักท่องเที่ยวและอื่น ๆ แล้วรวมประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท จากประมาณ 8,000 ล้านบาท ไปซ่อมและสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งเรื่องของห้องน้ำ อารยสถาปัตย์ต่าง ๆ รวมถึงการสร้างจุดเช็คอินในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวได้มากขึ้น
“ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล แล้วพรรคให้ตนมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง จะขอมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวอีก เพราะมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างรายได้การท่องเที่ยวให้ได้ 25% ของจีดีพีประเทศ หรือหารายได้เข้าประเทศได้ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ ในอนาคตกระทรวงท่องเที่ยวจะไม่ใช่กระทรวงเล็กๆอีกต่อไป ”นายพิพัฒน์ กล่าว
สำหรับนโยบายที่จะดูแลเรื่องปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน พรรคภูมิใจไทยมีหลายนโยบายที้ใช้ในการหาเสียงกับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ เช่น กรรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ ที่เป็นเงินช่วยเหลือฌาปนกิจ ขณะเดียวกันก็สามารถนำกรมธรรม์ไปใช้ขอเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท โดยไม้ต้องมีผู้ค้ำประกัน ส่วนกรณณีที่เสียชีวิตลูก หลาน สามารถนำกรมธรรม์ไปเบิกประกันได้และจะหักยอดหนี้จากเงินประกันเท่านั้น
นโยบายพักหนี้ 3 ปีเนื่องจากมองว่าประชาชนได้รับผลกระทบจากภาวะหนี้สินเป็นจำนวนมาก จากวิกฤติโควิด-19 และสงครามระหว่างยูเครน และรัสเซีย การพักหนี้จึงช่วยลดปัญหาหนี้สินประชาชน โดยพรรคจะเสนอนโยบายการพักหนี้โดยหยุดต้น และปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนสามารถหายใจได้และหลุดพ้นจากกับดักหนี้ได้เร็วขึ้น
“พรรคภูมิใจไทย ถือสโลแกนว่าพูดแล้วทำ คือเราสัญญาอะไรไว้กับประชาชนเราก้ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พูดแค่เฉพาะตอนหาเสียง ที่ผ่านมาไม่มีอะไรยากกว่าการปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติดแล้ว นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด
เมื่อประกาศเป็นนโนบายของพรรคเราก็สามารถไปปลดล็อคออกจากยาเสพติดได้ที่เหลือก็ต้องมาทำเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเน้นไปที่การผลักดันนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ดังนั้นนโยบายของพรรคเราประกาศออกไปแล้วเราจะต้องทำตามนโยบายของพรรคให้ได้”นายพิพัฒน์ กล่าว