'หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล' ชูองค์กรสุขภาพดี หนุนธุรกิจ 'บาฟส์' โตยั่งยืน
“หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล” ระบุ สุขภาพดี ปัญญาเกิด นำองค์กรเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้พนักงาน อยากเรียนรู้อะไร ก็สนับสนุนเติมที่ สร้างบรรยากาศที่ทำงานให้เสมือนมามหาวิทยาลัย ชูเงื่อนไขข้อเดียว นัดเพื่อนคุยงานต้องมาก่อนเวลา
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บาฟส์ (BAFS) กล่าวว่า ส่วนตัวถือคติการทำงานว่า “ถ้าเราจะทำงานท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนั้น การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากตัวเอง” ดังนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนที่จะเปลี่ยนองค์กร เปลี่ยนคนอื่น โดยสิ่งที่ควบคุมได้คือ “ตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม ไลฟ์สไตล์ หรือ รูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคนมีความแตงต่างกัน โดยตนจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีวินัย โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ที่จะตื่นเวลาเดิมคือ 05.00 น. ทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันหยุด และนั่งสมาธิ 20 นาที ก่อนออกมาวิ่งในทุกเช้า เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้สตาร์ทไปพร้อมกัน หลังจากนั้นค่อยตรวจเช็คข่าวสารหรือภารกิจต่าง ๆ ผ่านมือถือ
“ผมตื่นเวลา 05.00 น. ทุกวัน จะช่วยให้การบริหารจัดการชีวิตเร็วขึ้น เมื่อทำกิจกรรม 2 อย่างครบก็จะเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น กรุงเทพธุรกิจ แล้วค่อยเช็คมือถือ ซึ่งผมทำแบบนี้มาราว 4 ปี แล้ว หลังจากนั้นก็มาทำงานตามปกติ”
นอกจากนี้ สิ่งที่เริ่มทำและเห็นผลคือ ไม่ทานข้าวเช้า และทำ Intermittent Fasting (IF) ถือเป็นการบริหารจัดการเวลาในการทานอาหาร โดยทำมาตั้งแต่ต้นปี 2565 จะทานเพียงกาแฟดำ เพื่อรีสตาร์ทร่างกายเท่านั้น มื้อเที่ยงค่อยทานอาหารเป็นมื้อแรก ช่วงบ่ายไม่ทานอะไรเลย ไม่มีขนมระหว่างวัน จะทานอีกครั้งคือมื้อเย็นก่อนเวลา 20.00 น. ซึ่งการทานอาหารก็จะทานปกติแต่ไม่แตะน้ำตาลและผงชูรส
ทั้งนี้ ยอมรับว่า การทาน IF ส่วนตัวเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องสติปัญญา สมองได้มีการชาร์จพลังงานกขึ้น ต่างจากเมื่อก่อน ช่วงบ่ายสมองจะตื้อ ๆ การทำ IF เป็นการสอนให้ร่างกายได้นำเอาพลังงานมาใช้ เพราะมนุษย์มักคุ้นชินกับการกินจุกจิก ชินกับการนำเอาน้ำตาลกลูโคสมาเป็นพลังงาน ซึ่งลักษณะจะพีคและดร็อปไวจึงต้องเติมน้ำตาลและกลายเป็นเบาหวานในอนาคต
“ร่างกายดั้งเดิมจะชินกับการบริโภคไขมันมาเป็นพลังงาน ซึ่งลักษณะการทำงานของไขมันจะเนิบ ๆ จะไม่พีคจัด สิ่งที่ได้คือสมองปลอดโปร่งมาก เพราะพลังงานมาสม่ำเสมอ การเหวี่ยงลักษณะการขาดน้ำตาลจะไม่มี เพราะร่างกายเอาไขมันมาใช้ ผมศึกษาข้อมูลมากพอสมควร การ IF เริ่มต้นด้วยการที่คุยกับคุณหมอที่สนิทและแนะนำให้ทานอาหารเป็นมื้อ ขนมระหว่างมื้อให้หยุด ช่วงแรก ๆ ยอมรับว่าหิว ราว 7 วัน หลังจากนั้น ร่างกายจะชินและไม่หิว เมื่อไม่หิวแสดงว่าร่างกายเอาไขมันมาเป็นพลังงานเรียบร้อยแล้ว”
นอกจากการทำ IF แล้ว สิ่งสำคัญคือการออกกำลังกาย ตนจะใช้เวลาหลังเลิกงานวิ่งออกกำลังกาย และเวทเทรนนิ่ง (Weight training) ที่ทำงานประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ้ามีเวลามากกว่านี้ เพราะเมื่ออายุเกิน 40 ปีขึ้นไป กล้ามเนื้อจะหดตัว ถ้าไม่เสริมความแข็งแกร่งของมวลกล้ามเนื้อ ก็จะหดไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเป็นคนแก่ที่เดินเหินลำบาก ดังนั้น การออกกำลังกายจะเน้นดูแลเพื่อให้สามารถเป็นคนแก่ที่มีคุณภาพ
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับวันหยุดพักผ่อน เน้นจะเป็นแนวพักผ่อนแบบรูทีน ทั้ง อ่านหนังสือ เล่นดนตรีกับลูกและกลุ่มเพื่อนที่บ้านของตนเอง ส่วนตัวจะชอบเล่นกีตาร์ และมีร้องเพลงบ้าง ที่บ้านจึงทำห้องดนตรีและมีอุปกรณ์ครบ ซึ่งช่วงหลังลูกสาวก็สนใจมาเล่นกลอง คีย์บอร์ดก็เข้ามาร่วมเล่นด้วยกันใช้เวลาเป็นวันซึ่งได้พักจริง ๆ ก็วันเดียว และยังมีการจัดทริปในลักษณะการท่องเที่ยวกับเพื่อนทั้งทะเลภูเขาสลับกันไป
“เรื่องดนตรี ผมโชคดี ชอบดนตรี แล้วเพื่อนๆพนักงานหลายท่านก็ชอบ เราก็เลยได้เล่นดนตรีร่วมกันกับเพื่อนๆพนักงาน ฟอร์มวงเป็นเรื่องเป็นราว แต่ละปีก็มีกิจกรรมของบริษัทหลายโอกาส
มากๆ ที่ได้เล่นดนตรีร่วมกัน”
ทั้งนี้ เมื่อเราพบว่าสิ่งที่ทำดีและเกิดผลที่ชัดเจน ก็พยายามส่งเสริมในเรื่องสุขภาพให้กับพนักงานด้วย เพราะมองว่าสิ่งที่บริษัทสามารถให้กับพนักงานได้นอกเหนือจากเรื่องของความมั่นคงของอาชีพแล้ว ความอิ่มเอมใจ ความสุขใจ บริษัทก็ต้องมีให้ การทำงานจึงจะครบเครื่อง ทั้งในแง่ของสุขภาพ จิตใจ จึงมุ่งเน้นเรื่องของสุขภาพเป็นพิเศษ บริษัทฯ มีนโยบายให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาออกกำลังกายของแต่ละแผนกได้ และผู้บริหารต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง
“เรามีสนามฟุตบอล โรงยิม ห้องออกกำลังกาย สนามแบตมินตัน ช่วงนี้อากาศดีก็จะส่งเสริมให้มีกิจกรรมเดิน-วิ่ง ในองค์กรวลา 16.30 น. ใน 1 รอบระยะทาง 1 กม. แล้ว และได้จ้างมีครูสอนโยคะ และครูสอนเต้นซุมบ้ามาเพิ่มทางเลือกให้กับพนักงาน และกำลังจะจ้างเทรนเนอร์อย่างน้อย 2 คนเพื่อสลับเวลาการเข้าห้องออกกำลังกายของพนักงาน แต่ตนไม่ได้บังคับให้ทุกคนเข้ากิจกรรม แล้วแต่ใครอยากทำอะไร”
นอกจากนี้ ในองค์กรยังเน้นการปลูกผักปลอดสารพิษ ที่ทำกันเองทั้งขายให้พนักงานและคนในชุมชน โดยจุดเริ่มต้นที่อยากให้พนักงานดูแลสุขภาพ ส่งเสริมให้ทานผักสลัดที่ได้มาปลอดสารพิษจริง ๆ จึงเริ่มทำโครงการฟาร์มผักปลอดสารพิษราว 7 ปี อีกทั้ง เมื่อได้ทำโครงการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ผ่านพื้นที่เกษตรกรรม สิ่งที่พบคือเจอความเสี่ยงจากการเผาฟางข้าว บริษัทฯ จึงหารือและร่วมโครงการเกษตรอินทรีย์กับชาวเกตรกรรมทำข้าวอินทรีย์บนเนื้อที่ 159 ไร่ ในจ.พิจิตร รอบคลังน้ำมัน
ทั้งนี้ บาฟส์ได้สนับสนุนโดยมีเงื่อนไขว่าห้ามใช้สารเคมีและเผาฟางข้าว และมีหน่วยงานด้านความมั่นคงก็เข้ามาช่วยถือเป็นปีที่ 3 และพบว่าชาวนามีรายได้ดีขึ้น 2 เท่า เพราะได้ขายในราคาที่ปลอดสาร บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจอปน นอกจากนี้ โรงเรือนที่ดอนเมืองปัจจุบันใช้น้ำที่จากการบำบัดที่จากเดิมจะต้องบำบัดและทิ้งก็นำมาใช้ปลูกผักต่อ
“ผมเชื่อว่าจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จะจุดประกายให้เขาดูแลและรักสุขภาพ ตอนนี้ได้ขยายโครงการไปที่คลังน้ำมันในจ.ลำปาง ราว 30 ไร่ เช่น ปลูกมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว หรืออัญชัน ซึ่งตอนนี้สามารถนำเอาอัญชันไปอบแห้งและส่งออกไปจีนส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ทำน้ำชาอัญชันทาน และตอนนี้อีกความสำเร็จคือ ปลูกกาแฟ และอะโวคาโด และเมล่อน เป็นต้น เพื่อเน้นให้พนักงานได้ทาน คนในชุมชนมีรายได้ดีขึ้น”
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญการบริหารงานคือ ส่งเสริมองค์ความรู้ เพราะองค์กรจะเติบโตได้อยู่ที่พนักงาน เขาสามารถเรียนรู้อะไรใหม่เร็วขึ้นหรือไม่อยู่ที่การอยากที่จะเรียนรู้ บาฟส์มีเทรนนิ่งดอลลาร์ คือ การตั้งงบเสมือนในวงเงินที่อยากเรียนไม่ต้องรอ HR จัดหลักสูตร เช่น อยากเรียนบริหารจัดการเวลา การเจรจาต่อลอง หรือภาวะผู้นำ ก็จัดกันเองได้ ให้เหมือนกับการมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้เหมือนมาทำงาน ได้เจอเพื่อน เรียนรู้ เล่นกีฬา คุยงานในรูปแบบต่าง ๆ ได้
“ผมยืดหยุ่นพอสมควร ไม่บังคับการเข้างาน หรือแม้แต่การแต่งตัว แต่เงื่อนไขคือแต่งกายตามความเหมาะสมและเหมาะสมกับวิชาชพตัวเอง ที่องค์กรอยู่ดี พนักงานต้องมีความสุข โดยทั้งกลุ่มบาฟส์ รวมบริษัทลูก 8 บริษัท มีพนักงานกว่า 800 คน ผมให้อิสระแต่ละฝ่ายในการทำงาน แต่มีเงื่อนไขข้อเดียว คือ ถ้านัดเพื่อนมาคุยงาน ก็ขอแค่มาก่อนเวลาเท่านั้น”