'ประยุทธ์' สั่ง 'คลัง' ลดภาษีฯดีเซลอีก 2 เดือน ช่วงรอยต่อรัฐบาล
“นายกฯ” สั่งกระทรวงการคลัง ดูความเป็นไปได้ต่ออายุลดภาษีดีเซลหลังมาตรการหมดอายุ 20 ก.ค.นี้ “คลัง” ศึกษาลดภาษี 5 บาท ต่ออีก 2 เดือน “สุพัฒนพงษ์” ชี้หากคลังไม่ต่ออายุมาตรการภาษีออกไป ต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันในการลดราคา เผยสถานะกองทุนดีขึ้น ติดลบเหลือ 6.3 หมื่นล้าน
Key Points
- รัฐบาลแก้ปัญหาค่าครองชีดด้วยการลดภาษีน้ำมันดีเซลมาแล้ว 7 ครั้ง ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 20 ก.ค.2566
- การลดภาษีน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลสูยเสียรายได้จากภาษีสรรพสามิตรวม 158,000 ล้านบาท
- นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงการคลังศึกษาการต่อมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 2 เดือน
- ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้นติดลบเหลือ 63,376 ล้านบาท จึงเป็นอีกเครื่องมือที่จะดูแลราคาดีเซลได้
มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.2566 ซึ่งกระทรวงการคลัง ลดภาษีดีเซลมาแล้ว 7 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ก.พ.2565 ถึงปัจจุบันทำให้รัฐเสียรายได้ 158,000 ล้านบาท ถึงแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลง แต่รัฐบาลรักษาการยังมีความกังวลต่อค่าครองชีพของประชาชนจึงให้กระทรวงการคลังศึกษาการต่อมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 มิ.ย.2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.2566 ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
“นายกรัฐมนตรี ได้ฝากเรื่องนี้กับกระทรวงการคลังไปดูว่าเป็นยังไง ส่วนการจะอนุมัติต่อหรือไม่นั้น ก็คงต้องรอข้อสรุปและถ้าต่ออายุก็ต้องเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. พิจารณาตามกฎหมายก่อน” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับ มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรนั้น ที่ผ่านมา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง พร้อมหารือกับกระทรวงพลังงาน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ไปหาแนวทางร่วมกันเพื่อรองรับกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นี้
อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถดำเนินการได้ เชื่อว่า ยังสามารถใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าผ่านการการบริหารสภาพคล่อง เพื่อมาดูแลราคาน้ำมันดีเซลแทนได้
“คลัง”ศึกษาลดต่อ2เดือน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตไปหาแนวทางการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลต่อเป็นระยะเวลาอีก 2 เดือน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน หลังจากที่มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาทจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.นี้ โดยกรมสรรพสามิตจะได้ให้ฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาในประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะต้องประเมินถึงผลกระทบในเรื่องของรายได้รัฐบาลที่จะหายไปด้วย
ทั้งนี้ การลดภาษีน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าดังกล่าวประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน โดยมาตรการลดภาษีดังกล่าวได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีงบประมาณนี้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากน้ำมันดีเซลไปประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
“กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตได้ดำเนินมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันหลายประเภทและหลายครั้งมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดีเซล เนื่องจากถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้เป็นต้นทุนในภาคการผลิตสินค้า ไฟฟ้า และภาคการขนส่งในทุกอุตสาหกรรมซึ่งการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตรนั้น จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน”แหล่งข่าว กล่าว
ลดภาษี1ปีสูญรายได้แสนล้าน.
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีมาตรการการลดภาษีดีเซลที่ผ่านมารวม 7 ครั้ง กระทบรายได้รัฐ บาลรวม 158,000 ล้านบาท ดังนี้
1.วันที่ 18 ก.พ.-20 พ.ค.2565 (3 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 3 บาท รัฐสูญรายได้ 18,000 ล้านบาท
2.วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
3.วันที่ 21 ก.ค.-20 ก.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
4.วันที่ 21 ก.ย.-20 พ.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
5.วันที่ 21 พ.ย.2565-20 ม.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
6.วันที่ 21 ม.ค.-20 พ.ค.2566 (4 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 40,000 ล้านบาท
7.วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง โดยปัจจุบันมีสถานะติดลบ 63,376 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 17,127 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 46,249 ล้านบาท จากในช่วงที่ผ่านมที่เคยติดลบสูงถึง 120,000 ล้านบาท
ในขณะที่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการจำหน่ายปลีกน้ำมันดีเซลในปัจจุบันลิตรละ 4.20 บาท