'สภาพัฒน์' หนุนขึ้นแวต ดึงรายได้เพิ่มเงินออมประชาชน แก้โจทย์ใหญ่วัยเกษียณ
สศช.ชงแนวทางแก้ปัญหาสูงวัยรายได้ต่ำ ไร้เงินเกษียณ ขึ้นแวตจาก7%เป็น10%โดยนำ3%ที่ปรับขึ้นกันมาเป็นเงินออมวัยเกษียณของประชาชน หลังผลสำรวจพบคนแก่34%มีรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน41.4%มีเงินออมไม่ถึง5หมื่นบาท เชื่อประชาชนเข้าใจได้หากนำภาษีที่ขึ้นมาเป็นเงินออม
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในงานเสวนา “ข้ามรุ่น อนาคตประเทศไทย” จัดโดย สศช.ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งประเทศไทย (UNFPA) ว่าโครงสร้างประชากรไทยในปัจจุบันถือเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่จะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นโดยในปี2566โดยมีผู้สูงอายุประมาณ13.5ล้านคน คิดเป็นประมาณ20%ของประชากรทั้งประเทศ ส่วนอีก10ปีข้างหรือ หรือในปี2576จะเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด โดยมีผู้สูงอายุประมาณ18.38ล้านคน หรือประมาณ28%ของประชากรทั้งหมด จากนั้นในปี2583ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น20.51ล้านคน หรือคิดเป็น31.37%ของประชากรทั้งหมด เท่ากับว่าประชากรสูงอายุจะคิดเป็นสัดส่วน1ใน3ของประชากรทั้งประเทศ
จากข้อมูลการสำรวจรายได้ผู้สูงอายุพบว่าผู้สูงอายุของไทยจำนวนมากมีรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายและรายได้ตำกว่าเส้นยากจน โดยพบว่า34%หรือประมาณ1ใน3ของผู้สูงอายุที่เข้าอยู่วัยเกษียณแล้วของประเทศไทยยังคงทำงานอยู่ แต่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนโดยผู้สูงอายุกว่า78.3%มีรายได้ต่ำกว่า100,000บาทต่อปีทำให้ยังต้องพึ่งพารายได้จากแหล่งอื่น
ซึ่งแหล่งรายได้ในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากการทำงาน32.4%เงินจากบุตร32.2%และเบี้ยยังชีพ19.2%นอกจากนี้ ผู้สูงอายประมาณ41.4%มีเงินออมต่ำกว่า50,000บาท ซึ่งเรื่องการออมสำหรับวัยสูงอายุให้มีรายได้สำหรับการใช้จ่ายถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ต้องมีการวางแผนรองรับ
ซึ่งหากคิดในแง่ของเงินออมสำหรับวัยเกษียณในปัจจุบันมีเพียงข้าราชการเท่านั้นที่เกษียณแล้วมีรายได้จากเงินบำนาญชัดเจนในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า40%ของรายได้ของเดือนสุดท้ายที่ได้รับ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ออมเงินอยู่ในช่องทางอื่นๆ เช่นประกันสังคม หรือกองทุนการออมแห่งชาติ ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในวัยเกษียณ
โดยมาจากปัญหาที่คนส่วนใหญ่เริ่มการออมเงินช้าคืออายุเฉลี่ยที่เริ่มตอนอายุ42ปี ขณะที่คนกว่า26%ไม่มีการออมเงิน และเงินออมสำหรับวัยเกษียณเฉลี่ยอยู่ที่5หมื่นบาทต่อคนเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอที่จะใช้ในวัยเกษียณอายุอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการนำเสนอรูปแบบการออมสำหรับผู้สูงอายุหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหนึ่งที่มีการเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปสังคม และ สศช.เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีคือการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก7%เป็น10%
โดยในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอีก3%รัฐบาลอาจออกกฎหมายเฉพาะมาเพื่อนำเงินที่รัฐเก็บภาษีในส่วนนี้มาเป็นเงินออมของประชาชนเพื่อใช้ในวัยเกษียณซึ่งจะทำให้ประชาชนไทยมีเงินออมไว้ใช้สำหรับการเกษียณอายุ
“ปกติการขึ้นภาษีนั้นเป็นสิ่งที่จะมีคนไม่เห็นด้วยและคัดค้าน แต่ถ้าบอกว่าภาษีที่ปรับขึ้น เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มมาอีก3%จาก7เป็น10%ตามที่กฎหมายให้เพดานไว้ แล้วเอาภาษีที่ปรับขึ้นมาสำหรับทำระบบเงินออมให้กับประชาชนเพื่อให้มีเงินใช้ในวัยเกษียณก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดี และคาดว่าหากทำความเข้าใจกับประชาชนว่าภาษีที่ขึ้นในส่วนนี้จะเป็นเงินออมในวัยเกษียณประชาชนจะยอมรับ เพราะทำให้ประชาชนมีหลักประกันในวัยเกษียณ และภาครัฐก็มีแหล่งรายได้ที่ชัดเจนว่าจะเอาเงินในส่วนไหนมาจัดสวัสดิการให้ประชาชนสูงอายุที่มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต”
รอคกก.ผู้สูงอายุแห่งชาติหารือเกณฑ์เบี้ยสูงอายุ
สำหรับประเด็นเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของประเทศที่มีการถกเถียงกันมากเรื่องการพิสูจน์สิทธิ์ความจนและรายได้ของผู้สูงอายุว่าจำเป็นหรือไม่ นั้นรองเลขาธิการ สศช.กล่าวว่าในเรื่องนี้ต้องมีการหารือกันทุกฝ่ายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะในขณะนี้มีข้อถกเถียงกันมากว่าจะใช้เกณฑ์อะไรมาเป็นตัววัด เช่น รายได้ครอบครัว หรือเส้นความยากจน ซึ่งตัวชี้วัดต่างๆก็ต้องมาดูว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ และต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร
ซึ่งมีคณะอนุกรรมการอีกหลายคณะที่จะเอาข้อมูลมาถกเถียงกัน และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะมีการประกาศออกไป เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนซึ่งคงต้องรอให้มีการหารือเรื่องนี้ในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติให้ได้ข้อยุติอีกครั้ง
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่าประเทศไทยได้มีการวางแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (พ.ศ.2565 - 2568) โดยมีเป้าหมายทำให้ประเทศไทยที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่มีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆให้เป็นสังคมที่สามารถพัฒนาอย่างสมดุลโดยมีการวางยุทธศาสตร์3ดี คือเกิดดี อยู่ดี แก่ดี โดยการขับเคลื่อนที่ สศช.มองไว้คือการทำในเรื่องของsocial movementที่ต้องให้เกิดการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้
รวมทั้งทำแผนขับเคลื่อน โดยประเทศไทยเข้าสู่ สังคมสูงวัยซึ่งต้องมีแผน และการขับเคลื่อนที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องเอาแผนที่ลงไปทดลองปฏิบัติเพื่อทดลองจริงให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งต้องมีทั้งคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพที่ดี และเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้ประชากรสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้มากขึ้น โดยแผนพัฒนาประชากรระยะยาว เป้าหมายที่เรียกว่า “3D” คือการทำให้สังคมไทยที่จะเข้าสู่ผู้สูงอายุ มีขีดความสามารถมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือ และขับเคลื่อนจากหลายๆฝ่ายร่วมกันเพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้