'คิงส์เกต' เตรียมคุยรัฐบาลใหม่ จ่อถอนฟ้องอนุญาโตฯ คดีเหมืองทอง
คิงส์เกต เตรียมขอเข้าพบรัฐบาลใหม่ คุยข้อพิพาทอนุญาโตตุลาการ มีแนวโน้มถอนฟ้องคดีก่อนนัดอ่านคำตัดสินชี้ขาดปลายปีนี้ อัคราเผยเดินหน้าซ่อมบำรุงอีกกว่า 500 ล้านบาท คาดเริ่มขุดแร่ใหม่ในปี 67 อีกทั้งจับมือพันธมิตรยกระดับไทยเป็นฮับทองคำของอาเซียน
นายแดเนียล วีคส์ ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาค บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างคิงส์เกตกับรัฐบาลไทย ปัจจุบันเดินหน้าไปด้วยดี โดยมีกรอบการเจรจาขยายถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งที่ผ่านมามีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คิงส์เกตจึงรอรัฐบาลใหม่ และเมื่อได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมใหม่ชัดเจนแล้ว จะขอเข้าพบเพื่อหารือต่อไป โดยบริษัทมีแนวโน้มที่จะถอนฟ้องคดีก่อนที่จะมีการอ่านคำตัดสินชี้ขาดในวันที่ 31 ธ.ค.2566
นายแดเนียล กล่าวถึงรัฐบาลใหม่ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ระหว่างการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เมื่อได้ครม.แล้ว อยากให้เน้นดูแลคุณภาพชีวิตคนไทย โดยเฉพาะคนชนบทที่ส่วนหนึ่งยังคงยากจน ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งบริษัทได้สัมผัสตลอดการทำเหมืองในประเทศไทยจึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรกๆ
สำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นท่านใดก็ตามอยากให้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ไม่เพียงแค่คิงส์เกตที่ต้องการ แต่นักลงทุนต่างชาติล้วนต้องการเหมือนกัน
“บริษัทคาดหวังว่าจะมีส่วนร่วมผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่น ชุมชนโดยรอบเหมือง รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับประเทศร่วมกับรัฐบาลใหม่ในการที่จะกลับมาเปิดดำเนินการเหมืองทองชาตรีอีกครั้ง”
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซสจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังจากที่บริษัทเริ่มกลับมาดำเนินการทำเหมืองตั้งแต่เดือน มี.ค. 2566 ได้ยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมที่ 2 โดยใช้งบประมาณกว่า600 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.7 ล้านตันต่อปี และมีแผนจะดำเนินการซ่อมโรงประกอบโลหกรรมที่ 1 อีก 500 ล้านบาท กำลังการผลิตอยู่ที่ 2.3 ล้านตันต่อปี ให้แล้วเสร็จช่วงต้นปีหน้า โดยบริษัทคาดว่าจะมีการรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 200 ตำแหน่ง อีกทั้งจะเริ่มการขุดแร่ใหม่ที่มีความสมบูรณ์สูงกว่าเดิมภายในปี 2567
โดยตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง บริษัทได้ชำระค่าภาคหลวงแร่แล้ว ประมาณ 125 ล้านบาท นอกจากนี้ สมทบเงินเข้ากองทุน 4 กอง ที่จัดตั้งขึ้นตามกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา อีก 21% ของค่าภาคหลวงแร่ที่ชำระแล้ว คิดเป็นเงินจำนวนกว่า 26 ล้านบาท
นอกจากนี้ อัครายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทแปรรูปและสกัดทองคำ ได้แก่ บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด หรือ พีเอ็มอาร์ และ บริษัท ออสสิริส จำกัด เพื่อเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำในประเทศ เพื่อยกระดับศักยภาพไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทองคำแห่งใหม่ของภูมิภาคอาเซียน
จากความร่วมมือดังกล่าว อัคราจะเป็นผู้ผลิตและส่งต่อทองคำในรูปแบบแท่งโดเร่ให้พีเอ็มอาร์ทำการแปรรูปและสกัดออกมาเป็นทองและเงินด้วยกระบวนการตามมาตรฐานสากล และเป็นไปตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม แล้วจึงส่งทองต่อให้ออสสิริสแปรรูปเป็นทองคำรูปพรรณ