หอการค้าฯมอบรางวัล สำเภา-นาวาทอง ปี66 “สุเมธ ” ชูความดีป้องถูกฮิวแมนดิสรัปฯ
หอการค้าฯ มอบรางวัล สำเภา-นาวาทอง ประจำปี 2566 เชิดชู 40 หน่วยงานรัฐ ปรับปรุงกระบวนงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ด้าน” “สุเมธ ตันติเวชกุล"ขอรักษามาตราฐานการให้บริการประชาชน ยึดมั่นในความดี อย่าให้ถูกฮิวแมนดิสรัปชั่น
หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดพิธีมอบรางวัลสุดยอดหน่วยงานรัฐด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ ภายใต้ชื่อ รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” ประจำปี 2566 เป็นรางวัลที่ภาคเอกชนจัดขึ้นเพื่อเชิดชูและให้กำลังใจหน่วยงานภาครัฐที่ปรับปรุงกระบวนงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอย่างเห็นผล ซึ่งถือเป็นการจัดพิธีมอบรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า แสดงความชื่นชมภาคเอกชนที่ได้จัดรางวัลสำเภา-นาวาทอง ขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ
โดยที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นต้นแบบของการใช้ศรัทธาและหลักธรรมาภิบาลขับเคลื่อนพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ให้แก่ราษฎร ยกตัวอย่างเช่น การจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามแนวพระราชดำริทั่วประเทศ ที่ใช้แนวคิด One Stop Service บูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นแหล่งให้ความรู้แก่ประชาชนในจุดเดียว น่าเสียดายที่คนไทยไม่ได้มอง การรับบริการจากภาครัฐก็ยากเย็นแสนเข็ญ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ละกรมกระจัดกระจายไปคนละที่ติดต่องานก็ยากแม้แต่กรมเดียวกันก็ยังไม่คุยกัน ศูนย์ราชการจังหวัดก็เช่นกัน ไม่ใช่ One Stop Service แต่เป็นศูนย์รวมข้าราชการให้มาทำงานร่วมกันไม่ใช่เป็นแหล่งเซอร์วิสประชาชน ซึ่งควรจะเปลี่ยนให้เป็นศูนย์บริการประชาชนเป็น One Stop Service
การจัดพิธีมอบรางวัลสำเภานาวาทองฯ จึงถือว่ามีความสำคัญ หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับรางวัลฯ จะต้องรักษามาตรฐานการให้บริการประชาชนและภาคเอกชน ตลอดจนขยายผลไปสู่หน่วยงานอื่น ๆ ให้มากขึ้นในอนาคตต่อไป
“ความดีไม่มีหยุด ถ้าเราไม่พูดถึงความดี ความเลวก็จะมาแทนที่ เพราะพื้นฐานของมนุษย์คือความดี ไม่ใช่ดอกเตอร์ ไม่ใช่ใบปริญญาเหมือนอาคารที่ต้องวางเสาเข็มเป็นฐานรากเพื่อความมั่นคง ถ้าไม่มีเสาเข็มอาคารตึกก็โค่นลง เช่นเดียวกับมนุษย์ไม่มีความดีเป็นรากฐานก็จะถูกดิสรัปชั่นเช่นกันดังนั้นอย่ามองแค่ดิจิทัลดิสรัปชั่น ขอให้ระวังฮิวแมนดิสรัปชั่นด้วย”นายสุเมธ กล่าว
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รางวัล “สำเภา-นาวาทอง” จัดขั้นครั้งแรกเมื่อปี 2565 เป็นรางวัลหอการค้าไทยในฐานะภาคเอกชน เพื่อเชิดชูและยกย่อง แก่หน่วยงานภาครัฐ ที่ดำเนินการปรับปรุงกระบวนงานอย่างมีประสิทธิภาพและถือเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินประสิทธิภาพหน่วยงานภาครัฐของสำนักงาน กพร. ซึ่งหอการค้าไทย ได้มีการพิจารณารางวัลอย่างรอบด้าน มีความเที่ยงตรง สามารถวัดและประเมินผลได้อย่างชัดเจน จนสามารถผลักดันการปรับแก้กฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ จากเดิมที่มีการศึกษาว่าจะต้องทำการกิโยตินกฎหมายจำนวน 1,094 กระบวนงาน
โดยเมื่อปีที่แล้วสามารถดำเนินการได้ 938 กระบวนงาน และมีความคืบหน้าเพิ่มเติมเป็น 957 กระบวนงาน ในปีนี้ ซึ่งหากรวมกับที่ กพร. ดำเนินการเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกภาครัฐฯ อีก 194 กระบวนงาน ก็จะทำให้ปัจจุบันภาครัฐและเอกชนสามารถช่วยกันปลดล็อกไปแล้วกว่า 1,151 กระบวนงาน ตอกย้ำความสำเร็จจากความพยายามและความร่วมมือของทุกภาคส่วนในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่จัดทำโดยสถาบัน IMD (International Institute for Management Development) ในปี 2566 ปรับดีขึ้นมาเป็นลำดับที่ 30 จาก อันดับที่ 33 ในปี 2565 โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ เพิ่มขึ้น 7 อันดับ มาอยู่ที่ 24 ในปีนี้ จากการบริหารภาครัฐและกฎหมายธุรกิจที่ดีขึ้น สอดคล้องกับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น 7 อันดับ มาอยู่ที่ 23 จากปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นเช่นกัน
สำหรับปี 2566 ถือเป็นโอกาสครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทย ภายใต้แนวทาง Connect Competitive Sustainable เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ หอการค้าฯ ยังคมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลชุดใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้ภาครัฐปลดล็อคกฎ ระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ ให้อำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในการสร้างและขยายโอกาสให้กับประชาชนผ่านโยบายการเปลี่ยนบทบาทของรัฐที่เคยเป็นผู้กำกับดูแลที่เต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ และข้อบังคับ ให้เป็นผู้สนับสนุนที่ปลดล็อคข้อจำกัดของประชาชน สร้างโอกาสให้กับประชาชนในการสร้างรายได้และเจริญเติบโต อาทิ การยกเลิกและปรับปรุงกฎหมายที่ไม่จำเป็น ซึ่งหอการค้าฯ เชื่อว่ารางวัลนี้จะมีส่วนจุดประกายการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน สร้าง Ecosystem เพื่อให้เกิด Ease of Doing Business และ Ease of Investment อย่างแท้จริง นายสนั่นกล่าว
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง Digital Disruption ว่า ก.พ.ร. ได้ให้ความสำคัญในการยกระดับและพัฒนาการให้บริการภาครัฐไปสู่การเป็น Digital Government ที่สามารถตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส และลดดุลพินิจในการอนุมัติขั้นตอนต่าง ๆ ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิด Ecosystem ที่หน่วยงานราชการสามารถอำนวยความสะดวกในการให้บริการและสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประชาชน นอกจากนี้ ก.พ.ร. ยังได้มีการถ่ายโอนภารกิจที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนเองให้กับภาคเอกชนมีส่วนในการดำเนินงาน ซึ่งภาคเอกชนมีความรวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากกว่า
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการสนับสนุนการลงทุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองรางวัลฯ กล่าวว่า การจัดงานมอบรางวัล“สำเภา-นาวาทอง”ประจำปี 2566 ได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ชี้แนะและสนับสนุนข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้เกณฑ์และมาตรฐานในการประเมินการตัดสินจากภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นผลสะท้อนจากการใช้บริการ และมีทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ทำหน้าที่ประเมินวิเคราะห์ ใน 3 มิติสำคัญประกอบด้วย ประสิทธิภาพของกระบวนงาน การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล และสุดท้ายผลสัมฤทธิ์ด้านการให้ลบริการผ่านช่องทางดิจิทัล การอำนวยความสะดวกและการปรับปรุงการให้บริการ ตลอดจนส่งเสริม e-Government ตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
โดยในปีนี้มีการขยายรางวัลไปยังหน่วยงานระดับภูมิภาค รวมเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.รางวัลหน่วยงานระดับกระทรวง จำนวน 6 หน่วยงาน 2. รางวัลหน่วยงานระดับกรมจำนวน 16 หน่วยงาน 3. รางวัลหน่วยงานระดับกระบวนงาน จำนวน 5 หน่วยงาน และ 4. รางวัลหน่วยงานระดับภูมิภาค จำนวน 13 หน่วยงาน