'เศรษฐา'อัดยาแรงกระตุ้นศก. เงินดิจิทัล-ท่องเที่ยว-ขึ้นค่าแรง เป้า GDP โต5%
ครม.เร่งเครื่องเศรษฐกิจ ดันปีหน้าแตะ 5% ลดค่าครองชีพเพิ่ม หั่นค่าไฟเหลือ 3.99 บาท “เศรษฐา” ชี้แจกเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจล่วงหน้า 3 เดือน หนุนเอกชนลงทุนจ้างงาน เผยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท 1 ม.ค.67 เดินหน้าบูมท่องเที่ยวคุยอินเดียดึงท่องเที่ยวเพิ่มไทยขึ้น
ภายหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้เร่งผลักดันการลดค่าครองชีพและการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวให้ได้ปีละ 5%
นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า ครม.รับทราบการรายงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้หารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ลดค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566 ลงจากมติ ครม.สัปดาห์ก่อนจากหน่วยละ 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท มีผลในรอบบิลไฟฟ้าเดือน ก.ย.ทันที
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2566 ครม.เพิ่งลดราคาค่าไฟจากหน่วยละ 4.35 บาท เหลือ 4.10 บาท และล่าสุดได้ปรับลดลงอีก 11 สตางค์ โดยเป็นการหารือกันระหว่างกระทรวงพลังงาน กับ กกพ.เพื่อให้ประกาศใช้ทันในรอบบิลนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะให้ค่าไฟฟ้าลดลงต่ำกว่า 4 บาท
นอกจากนี้ ครม.เห็นชอบการทบทวนกรอบวงเงินวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยเป็นการปรับกรอบงบประมาณดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งการเพิ่มขึ้นของงบประมาณส่วนใหญ่เป็นงบรายจ่ายด้านการลงทุน
สำหรับสาระสำคัญของกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2567 มีวงเงินรวม 3.48 ล้านล้านบาท เป็นการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล แบ่งเป็นรายได้ภาครัฐ 2.78 ล้านล้านบาท และการตั้งกรอบงบประมาณขาดดุลงบประมาณไว้ที่ 6.93 แสนล้านบาท
ส่วนประมาณการเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2567 คาดว่าจีดีพีขยายตัวที่ 5% โดยคาดว่าจีดีพีปี 2567 จะอยู่ที่ 19.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.08 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% จากปีงบประมาณ 2566 ที่จีดีพีอยู่ที่ 18.1 ล้านล้านบาท
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สำนักงบประมาณได้ปรับประมาณการณ์จีดีพีสูงขึ้นจากที่ระบุในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ฉบับทบทวนที่เสนอ ครม.เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2566 ซึ่งประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64% และประมาณการจีดีพีของปี 2567 อยู่ที่ 3.2%
แจกเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจล่วงหน้า 3 เดือน
นายเศรษฐา ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้ต้องอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีนโยบายแจกเงินดิจิทัล เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนจับจ่ายเงินในเศรษฐกิจ ซึ่งจะผันเม็ดเงินจากภาครัฐไปสู่มือประชาชนแบบไม่ผ่านตัวกลาง จึงไม่ต้องกังวลเงินตกลหล่นหรือการทุจริตหักหัวคิว
สำหรับโครงการเงินดิจิทัลจะเริ่มไตรมาส 1 ปี 2567 วงเงินรวม 5.6 แสนล้านบาท อาจมากหรือน้อยกว่าเล็กน้อยตามจำนวนประชากรที่เข้าโครงการ โดยจ่ายครั้งเดียวและในมุมเอกชนเมื่อเห็นรัฐบาลมีโครงการขนาดใหญ่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจก็ต้องเร่งการลงทุนและจ้างงาน
“หากประกาศเริ่มใช้วันที่ 1 ก.พ.2567 สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ เอกชนจะเร่งการลงทุน การจ้างงานล่วงหน้า 3 เดือน เพื่อเตรียมความพร้อม ซึ่งเท่ากับว่าการะตุ้นเศรษฐกิจเกิดก่อนล่วงหน้าแล้ว 3 เดือน และภาคธุรกิจจะทำโปรโมชั่นแข่งกัน เช่น หากซื้อสินค้าด้วยเงินดิจิทัลอาจมีมูลค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งภาคเอกชนใช้กลไกในการกระตุ้นการตลาดแบบนี้ได้ก็หวังว่ามูลค่าจากเงินจำนวนที่รัฐบาลลงไปจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อประชาชนใช้จ่าย” นายเศรษฐากล่าว
นอกจากนี้ มอบหมายให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หารือหน่วยงานงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแหล่งเงินงบประมาณ ซึ่งมั่นใจว่ามีความพร้อมและเหลือเวลาอีก 10 วัน ก่อนมารายงานความคืบหน้า ครม.ได้ทราบรายละเอียด
ค่าแรงขั้นต่ำมีผล1ม.ค.66
นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะที่การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำได้เดินหน้ารับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งเบื้องต้นการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท และจะประกาศภายในเดือน พ.ย.2566 เพื่อบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.2567 โดยจะต้องทำควบคู่กับการที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัว เพื่อให้ภาคเอกชนเห็นความชัดเจนของแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจที่จะทำให้ภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้น
“ค่าแรงขั้นต่ำเป็นหนึ่งในมาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นอกเหนือจากการลดค่าใช้จ่าย คือ การเพิ่มรายได้ ซึ่งรัฐบาลได้หารือกับเอสเอ็มอีและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าเห็นโรดแมปรัฐบาลในการเพิ่มรายได้และการเปิดตลาดใหม่ รวมถึงมาตรการต่อเนื่องเป็นระยะก็จะมีแรงจูงใจรัฐบาลก็ประกาศได้มั่นใจ”
ในส่วนเรื่องราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นายกฯ คาดว่า 3 เดือนอาจจะยาก แต่เริ่มดำเนินการในทันที โดยได้พูดคุยกับนักกฎหมาย จากปัญหาสะสมมานาน ทั้งเรื่องค้างค่าใช้จ่ายกับภาคเอกชน การประมูลสายสีส้ม การเชื่อมต่อระบบ การใช้ตั๋วใบเดียว หลาย ๆ สายที่ได้ไปดูมามีรูปแบบการขึ้นรถต่างกัน แต่ก็พร้อมยืนยันว่าได้เริ่มทำงานแล้ว
เตรียมเยือนอินเดียหารือนายกฯโมดี้ช่วยการท่องเที่ยวปี 67
ส่วนนโยบายด้านการท่องเที่ยวนอกจากจะออกมาตรการฟรีวีซ่าให้กับจีน และคาซัคสถานแล้วซึ่งคาดว่าจะได้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3.5 หมื่นล้านบาท ยังจะมีการเจรจากับอินเดีย โดยในช่วงปลายปีนี้ตนจะเดินทางไปยังอินเดียเพื่อหารือกับผู้นำระดับสูงและนายกรัฐมนตรีของอินเดีย
ซึ่งขณะนี้การที่ยังไม่มีมาตรการวีซ่าฟรีให้กับอินเดียเพราะอินเดียนั้นยังไม่ได้มีปัญหาเรื่องการขอวีซ่า แต่อินเดียอยู่ระหว่างรอเครื่องบินที่มีการสั่งซื้อจำนวนมากดังนั้นเมื่อได้เครื่องบินโดยสารมาในอีก 1 - 2 ปีข้างหน้าก็จะมีการออกมาท่องเที่ยวมากขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้ต้องไปคุยเรื่องของสล็อตการบินที่อินเดียจะเดินทางเข้ามาในไทยในช่วงปีหน้าไว้ด้วย รวมไปถึงอาจมีการออกมาตรการผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เข้ามาแต่งงานในไทยสามารถได้รับการยกเว้นภาษีการนำเข้าเครื่องประดับ และอัญมณี ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่จะจัดงานแต่งงานเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นด้วย