‘ไมโครซอฟท์’ ชูจุดแข็งประเทศไทย ยุทธศาสตร์ ‘เป็นกลาง’ หนุนการลงทุน   

 

ในโลกยุคปัจจุบันที่บริบทโลกแบ่งขั้วระหว่างมหาอำนาจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทั้งเรื่องของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยเฉพาะสองมหาอำนาจเศรษฐกิจทั้ง “สหรัฐฯ” และ “จีน”

ในหลายเวทีเสวนาหัวข้อที่มีการแลกเปลี่ยนถกเถียงกันคือจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลก ว่าประเทศไทยจะมีจุดยืนอย่างไรในเวทีโลกเพื่อให้ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด

เวทีประชุมประจำปี ประจำปี 2566 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) "ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวในหัวข้อ "Inclusive Green Growth Transition” ตอนหนึ่งว่าปัจจุบันการแข่งขันกันรุนแรงด้านเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจที่เป็น “Tech War” ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากการแข่งขันของภาคเอกชนด้วยเช่นกัน

ตอนนี้มหาอำนาจ จีน – สหรัฐฯแยกขั้วกันชัดเจน สหรัฐฯพยายามที่จะหาซัพพายเชนใหม่แทนจีน ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Apple ที่เมื่อก่อนมีการลงทุนในจีนจำนวนมาก วันนี้มีการย้ายไปอินเดีย และเวียดนาม ส่วนไมโครซอฟท์ นั้นก่อนหน้านี้เรามีโรงงานที่ทำเรื่องของโน๊ตบุ๊ค Surface ในประเทศจีนอย่างเดียวแต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ที่เวียดนามและไทย ในสาขาของบริษัทที่เป็นเทคโนโลยี

โดยหากพูดถึงไมโครซอฟท์เป็นบริษัทในสหรัฐฯแต่หากพูดถึงเรื่องของหน่วยงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศจีน จะเห็นว่าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ สามารถที่จะยืนอยู่ตรงกลางและมาให้ประโยชน์กับประชาคมโลก

“สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการแยกค่ายเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจให้ประโยชน์กับเศรษฐกิจไทย แล้วเราจะเตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมรับกับโอกาสนั้น แล้วเมื่อบริษัทขนาดใหญ่จะเลือกประเทศที่ลงทุนเขาจะเลือกประเทศไทยจากความพร้อมของไทยเช่นกัน สำหรับจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลกถือว่ามีจุดยืน (positioning) ที่ดีมาโดยตลอด ไทยอยู่ตรงกลางของความขัดแย้ง เหมือนเป็น The Rest of Country อยู่ตลอดเวลาซึ่งเราต้องรักษาจุดแข็งตรงนี้ไว้ให้ดี”

“เวลาผมไปพูดกับไมโครซอฟท์ขอให้มาลงทุนในประเทศไทย สิ่งที่ผมพูดก่อนเลยก็คือจุดแข็งของประเทศไทยนั้นเรา neutral country ในเรื่องของ Geopolitics ถ้าเราไปซ้ายหรือขวานั้นเราจะเหนื่อยในการไปคุยกับบริษัทที่เป็น Global Company เพราะบริษัทใหญ่ๆเขาต้องการลงทุนในประเทศที่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร”

 

เทคโนโลยีเท่ากับโอกาส

ธนวัฒน์กล่าวด้วยว่าวันนี้เรามองเรื่องเทคโนโลยีต้องมองว่าเท่ากับโอกาสเพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมที่เป็น Inclusive ของการพัฒนาได้   ไม่ว่าจะมองมิติไหนก็มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น เรื่องของการเข้าถึงคลาวด์คอมพิวเตอร์ ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ขณะที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเรื่องที่ไม่ยากเหมือนในอดีต เพราะเราสามารถสื่อสารกับ AI ด้วยภาษาของมนุษย์ได้

หากเราพูดถึงเทคโนโลยี “ChatGPT” ที่ปัจจุบันพัฒนาเป็นเวอร์ชั่น 4 โดยมีความรู้ 57 สาขาวิชา ซึ่งมีแหล่งข้อมูลและความรู้จากโลกอินเตอร์เน็ตทั่วโลกเท่ากับว่ามีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มาเป็นผู้ช่วยเรา ChatGPT สามารถเพิ่มคุณภาพการศึกษา เป็นผู้ช่วยให้ครูได้ หรือเป็นติวเตอร์ของเด็กได้ แล้วในขณะนี้ บางประเทศเช่น ไต้หวัน รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการใช้ AI ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กเพื่อฝึกสอนการพูดภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง

การที่ไทยจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้

 

1.ที่เราจะได้ประโยชน์ในเรื่องของการดึงเทคโนโลยีมาใช้เราต้องเลือกเทคโนโลยีที่ Open ไม่ Lock in เพราะเราเห็นชัดว่าหากมีการขาดแคลนชิพ หรือทำเซอร์วิสไม่ได้เราจะได้รับผลกระทบ ซึ่งเราต้องเลือกเทคโนโลยีที่เป็น Open-Source Open data และ Open AI มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราต้องมาใช้ในการวางแผนในอนาคต

 

2.เราต้องเลือกเทคโนโลยีที่เรา Trust ได้ ซึ่งเราต้องเลือกเทคโนโลยีที่เราจะเชื่อใจได้ เพราะการที่เราจะไปให้บริการต่อก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นได้

 

และ 3.ประเทศไทยต้องตระหนักว่า เทคโนโลยีวันนี้พัฒนาเร็วมากเช่นการพัฒนาของ Generative AI มีการพัฒนาไปเร็วมาก ทำอย่างไรให้ไทยสามารถเป็นผู้สร้างและผู้พัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เพื่อให้มีบทบาทในอนาคต

“เราพูดเรื่องดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่นมาหลายปี วันนี้จะเข้าสู่ AI ทรานฟอร์เมชั่น ซึ่งวันนี้สามารถทำให้ไปสู่เรื่อง การทำให้ความคิดออกมาเป็นโค้ดดิ้งได้ คำนวณโมเดลธุรกในโลกในวันนี้จะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างความแตกต่างและความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พร้อมเพียงกันทั่วโลกและไทยก็มีโอกาสมากถ้าเราคว้าโอกาสนี้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว”