‘เศรษฐา-ฮุนมาเนต’ ปูทางเจรจา เคลียร์พื้นที่ทับซ้อนผลิตปิโตรเลียม
นายกฯ เยือนกัมพูชา จุดเริ่มต้นเปิดเจรจาพื้นที่ทับซ้อน “ปานปรีย์” ยันปรับโครงสร้างคณะกรรมการเจรจาใหม่ “พลังงาน” เตรียมข้อมูลเสนอรัฐบาล หวังให้เร่งเจรจาเพื่อสำรวจผลิตปิโตรเลียม ลดนำเข้าแหล่งพลังงานจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ช่วยพยุงค่าไฟฟ้าราคาถูกลงในระยะยาว
การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา มีความยือเยื้อมาตั้งแต่ปี 2512 นับจากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาสิทธิและขอบไหล่ทวีป ซึ่งนำมาสู่การประกาศเขตไหล่ทวีป รวมถึงการให้สิทธิสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาแต่ต้องมีการหยุดให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการในปี 2518
ในขณะที่การเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชามีความคืบหน้าอีกครั้งเมื่อมีความพยายามเจรจาหาประโยช์ร่วมกันในปี 2543 และหลังจากนั้นมีการเจรจาความคืบหน้าในบางรัฐบาล จนถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่จะเร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่ม รวมถึงสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงพลังงาน
นายเศรษฐา ได้เดินทางเยือนกัมพูชาในวันที่ 28 ก.ย.2566 เพื่อแนะนำตัวในโอกาสรับตำแหน่งใหม่รวมทั้งการกระชับสัมพันธ์และความร่วมมือทุกด้านไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงการต่อยอดการพัฒนาร่วมกัน
การเดินทางเยือนครั้งนี้มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมคณะด้วย โดยนายปานปรีย์ ระบุก่อนการเดินทางว่า วาระการหารือไม่ได้กำหนดประเด็นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน แต่ขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาที่จะยกประเด็นขึ้นมา แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะเข้าไปดูโครงสร้างคณะกรรมการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนในช่วงที่ผ่านมาดำเนินการผ่านคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งในรัฐบาลที่ผ่านมาประธานฝ่ายไทย คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็จะมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการใหม่ รวมทั้งที่ผ่านมามีคณะทำงานว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล และคณะทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาร่วม โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา
แหล่งข่าว กล่าวว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ทำงานร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดเตรียมข้อมูลให้รัฐบาลดำเนินการในเชิงนโยบาย โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการเจรจาไว้ 3 ประเด็น ได้แก่
1. การแก้ปัญหาพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร
2. การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนเมื่อปี 2544 (MOU 2544) ซึ่งประกอบด้วยการเจรจาจัดทำข้อตกลงแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ และการเจรจาจัดทำข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกันใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ
3. ในการดำเนินการเจรจาให้ใช้กลไกภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (JTC) ตามที่ตกลงกับฝ่ายกัมพูชาไว้แล้ว
เยือนกัมพูชาเป็นจุดเริ่มต้นเจรจา
นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดเป้าหมายการเจรจา ได้แก่ ต้องเจรจาให้ได้ประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทยทุกด้าน, รักษาสิทธิของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องการแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาร่วมฯ โดยบรรลุการจัดทำความตกลงตามที่ได้กำหนดไว้ใน MOU 2544, การเจรจาของไทยให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจพิจารณาแนวทางความเป็นได้อื่นที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับไทยและการดำเนินการเจรจาต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส
ทั้งนี้ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตรนั้น เมื่อปี 2548 บริษัท เชฟรอน ของสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทสัมปทานและเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนทั้งจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ได้เคยประเมินไว้ว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติหากคิดเป็นมูลค่าถึง 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท
“กระทรวงพลังงานได้เตรียมข้อมูลทุกอย่างไว้ประกอบการตัดสินใจให้กับภาคนโยบายไว้อยู่แล้ว เพียงแต่รอให้ภาคนโยบายเรียกไปนำเสนอ ซึ่งเข้าใจว่าการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนประเทศกัมพูชา วันที่ 28 ก.ย.2566 จะมีการพูดคุยกระชับความสัมพันธ์ และดูท่าทีระหว่างกันมากกว่า ดังนั้น ประเด็นพื้นที่ทับซ้อนอาจจะยังไม่มีการลงรายละเอียดในเชิงลึก ซึ่งอาจจะมีการเกริ่นถึงบ้างก็อาจจะเป็นไปได้” แหล่งข่าว กล่าว
หวังเป็นแหล่งก๊าซราคาถูก
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งต่างประเทศ หากไทยและกัมพูชาสามารถเจรจาสำเร็จจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ช่วยชดเชยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีราคาแพง โดยเฉพาะค่าไฟที่ปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกภาระแทนผู้ใช้ไฟกว่า 1.3 แสนล้านบาท
ดังนั้น หากเจรจาสำเร็จโดยเร็วเชื่อว่าทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อนจะมาชดเชยปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่อนาคตจะมีกำลังการผลิตลดลง และยังเป็นการตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานไทยในอนาคตอีกด้วย
แหล่งข่าว กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทั้งไทยและกัมพูชาเจรจากันหลายรอบแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานต่างกระตุ้นให้รัฐบาลไทยเร่งเจรจาเพื่อหาแนวทางร่วมกันพัฒนาพื้นที่ OCA มาใช้ประโยชน์ เพราะต้นทุนราคา LNG ตลาดจร (LNG Spot) ที่ไทยต้องนำเข้ามีราคาสูงเฉลี่ยช่วงปีที่ผ่านมา JKM Spot LNG ระดับ 20-30 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เมื่อเทียบกับราคาก๊าซจากอ่าวไทย อยู่ที่ประมาณ 5-6 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู แม้ช่วงปีนี้ จะลดลงมาระดับ 10-20 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งก็ยังมีความผันผวนเพราะนอกจากปัญหาทางการเมืองต่างประเทศแล้ว ยังมีปัจจัยของสภาพภูมิอากาศมาเกี่ยวข้อง
“การที่นำเข้า LNG ในปริมาณมาก ถือว่าเป็นความเสี่ยงของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลควรจะต้องเร่งเจรจาแหล่งพื้นที่ทับซ้อน OCA กับรัฐบาลกัมพูชา ส่วนตัวมองว่าควรเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผลักดันให้เกิดผลโดยเร็ว เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ เพราะระยะเวลาในการเจรจาคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในขบวนการเจรจาประมาณ 6-10 ปีถึงจะเริ่มขบวนการเข้าสำรวจพื้นที่ได้” แหล่งข่าว กล่าว
เสนอรูปแบบร่วมพัฒนา JDA
อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักของการเจรจาคือกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพลังงาน ก็พร้อมที่จะเตรียมข้อมูลสนับสนุน ดังนั้น การเจรจาก็ขึ้นอยู่กับทีมเจรจาและรัฐบาลเป็นผู้กำหนด ซึ่งอาจมีหลายรูปแบบ ตามที่เคยมีการเสนอ ดังนี้
1. ใช้วิธีแบ่งเขตแดนกันแบบพื้นที่ทับซ้อนไทย-เวียดนาม เมื่อปี 2540 โดยใช้เวลาเจรจา 7-8 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามให้น้ำหนักกับพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้มากกว่า 2. ร่วมลงทุนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลแบบไทย-มาเลเซีย รูปแบบเป็น JDA ในปี 2522 ใช้เวลาเจรจา 11 ปี และ 3. ผสมผสานระหว่างรูปแบบที่ 1 กับ 2
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพปิโตรเลียม โดยพื้นที่ฝั่งไทยที่ติดกับพื้นที่ทับซ้อนมีการพบปิโตรเลียมแล้ว เช่น แหล่งเอราวัณ แหล่งอาทิตย์ จึงมีแนวโน้มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งรัฐบาลไทยให้สัมปทานไปเมื่อปี 2511 และให้หยุดสำรวจตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2518 ที่ให้ยุติการสำรวจในพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ทำให้การให้สิทธิสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาหยุดลงด้วย โดยสิทธิสัมปทานยังคงเป็นของผู้รับสัมปทาน และรัฐบาลไม่ได้ประกาศยกเลิกเพื่อเป็นการยืนยันว่าไทยยังอ้างสิทธิอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ดูแลสัมปทานในขณะนั้นได้หยุดนับเวลาอายุสัมปทานจนถึงปัจจุบัน
ยืนยันไม่ให้กระทบเขตแดน
สำหรับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งการเจรจาเป็น 2 ส่วน คือ
1. พื้นที่เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือขึ้นไป ต้องหาข้อสรุปเขตแดนทางทะเล 10,000 ตารางกิโลเมตร ให้ชัดเจนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้กัมพูชาขีดเส้นผ่านเกาะกูด จ.ตราด
2. พื้นที่ใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือลงมา พื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีเป้าหมายทำความตกลงพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกัน (JDA) ร่วมกับมาเลเซีย
ส่วนผู้ได้รับสัมปทานพื้นที่ทับซ้อนจากรัฐบาลไทยเมื่อปี 2511 แบ่งเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย
1. แปลง B5 และ B6 คือ Idemitsu Oil เป็นผู้ดำเนินงานหลัก (Operator) ถือสัดส่วน 50% และพันธมิตรมี Chevron E&P สัดส่วน 20% ,Chevron Blocks 5 and 6 สัดส่วน 10% ,Mitsui Oil Exploration Co.Ltd. สัดส่วน 20%
2. แปลง B7,B8 และ B9 คือ British Gas Asia เป็นผู้ดำเนินงานหลักถือสัดส่วน 50% และพันธมิตร คือ Chevron Overseas สัดส่วน 33.33% และ Petroleum Resources สัดส่วน 16.67%
3. แปลง B10 และ B11 คือ Chevron Thailand E&P เป็นผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 60% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 40%
4. แปลง B12 และ B13 (บางส่วน) คือ Chevron Thailand E&P เป็นผู้ดำเนินการหลัก ถือสัดส่วน 80% และพันธมิตร คือ Mitsui Oil Exploration สัดส่วน 20%
5. แปลง G9/43 และ B14 ผู้รับสิทธิ คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.