ธรรมนัส ดึง สภาหอการค้า ตั้ง กรอ.เกษตรดันรายได้ แตะ 5.3แสนบาท /ปี/ครัวเรือน
ธรรมนัส ร่วมหอการค้าไทย-สภาหอการค้าไทย ตั้งกรอ.การเกษตร เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขั้น ดันสร้างมูลค่าเพิ่ม ยึดแผนฯ 13 ดันรายได้เกษตรแตะ 5.3 แสนบาท/ปี/ครัวเรือน จีดีพี 5 ปี ต้องขยาย4.5 % การส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนด้านอาหาร
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่าได้เห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชนด้านเกษตร หรือ กรอ.เกษตร(กรอ.กษ.) ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการลงนามแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย หน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ และตัวแทนจากสภาหอการค้าฯ ซึ่งจะมีการหารรือร่วมกันอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน และขอให้ทางหอการค้าฯ เป็นพี่เลี้ยงให้กับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อขับเคลื่อนงานร่วมกันต่อไป
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้หารือ ความร่วมมือ พร้อมทั้งนำเสนอประเด็นต่างๆ ของภาคเอกชนต่อการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรของประเทศไทย โดย ยืนยันการทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าไทยมีความพร้อมที่จะยกระดับภาคเกษตรไปสู่มูลค่าสูงได้มากกว่านี้
โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของเกษตรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดและขยายผลไปในแต่ละจังหวัด ซึ่งภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนแหล่งเงินทุน มาตรการลดต้นทุนภาคการเกษตร และการบริหารจัดการน้ำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม - น้ำแล้ง ซ้ำซาก อย่างเป็นระบบ ขณะที่หอการค้าฯ และภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ รวมถึงถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศไปพร้อมกัน
ปัจจุบันประเทศไทยมีจุดเด่นและความพร้อมพื้นฐานด้านการเกษตร ทั้งในเชิงปริมาณพื้นที่เพาะปลูก จำนวนเกษตรกร สภาพภูมิอากาศ แต่ขณะเดียวกันมูลค่าการส่งออกและรายได้ของเกษตรกรยังไม่เพิ่มสูงเท่าที่ควร ดังนั้นทุกฝ่ายจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริง ยกตัวอย่าง ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่เล็กกว่าไทยถึง 12 เท่า แต่สามารถสร้างรายได้ในภาคเกษตรต่อประชากรสูงกว่าไทยถึง 10 เท่า นี่จึงถือเป็นโอกาสที่ไทยต้องเรียนรู้รูปแบบการบริหารจัดการ
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยต่อยอดผลผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง ซึ่งส่วนนี้หอการค้าฯ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งในอนาคตหากสามารถยกระดับการทำเกษตรสมัยใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม เกษตรกรกว่า 27 ล้านคน ที่ถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะมีรายได้ที่สูงขึ้น เกิดการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสามารถลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างแท้จริง
ขณะที่ หอการค้าฯ ได้ขอให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน หรือ กรอ.กษ. ซึ่งจะช่วยสร้างความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
รวมถึงยื่นข้อเสนอแนะเร่งด่วนของธุรกิจเกษตรและอาหาร ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาผ่าน คณะกรรมการ กรอ.กษ โดยมีข้อเสนอใน 7 ประเด็นสำคัญ ที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นตามเป้าหมายของแผนพัฒนาเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (แผนฯ3) ที่กำหนดไว้ 5.3 แสนบาท/ปี/ครัวเรือน และภาวะเศรษฐกิจการเกษตร หรือจีดีพีเกษตรขยายตัวที่ 4.5 %ต่อปีจากปี2566 ที่คาดว่าจะขยายที่ 2-3 % ประกอบด้วย
1) การส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนด้านอาหาร (Food Safety and Food Security) ซึ่งภาคเกษตรเป็นส่วนสำคัญที่มีการขับเคลื่อนในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ APEC โดยการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ได้เห็นชอบในการผลักดันให้ดำเนินงานส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหาร ในภูมิภาคเอเปค
รวมถึงการหารือเกี่ยวกับนโยบายแนวทางในการรับมือกับประเด็นท้าทายด้านความมั่นคงอาหาร ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ซึ่งหอการค้าฯ ยินดีร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 3S ได้แก่ Safety , Security และ Sustainability เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาหารให้ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนร่วมส่งเสริมการขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วย BCG Model เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า สินค้าเกษตรและอาหารของไทย มีผลผลิตที่มีความปลอดภัยและมีคุณภาพมาตรฐาน พร้อมเป็นครัวโลก
2) การรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางทะเล เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ ประสานงานสมาคมการค้าและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนและรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางทะเล ด้วยมาตรการป้องกันปัญหาการประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing ตลอดจนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อยกระดับอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ของประเทศไทยให้อยู่ในระดับ Tier 1 ในปี 2024
3) การสร้างความสมดุลภาคธุรกิจเกษตรและอาหาร เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ กำหนดนโยบายเพื่อสร้างความสมดุลและเสถียรภาพการนำเข้า - ส่งออกภาคเกษตรและอาหาร ระหว่างเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออก เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนด้านเกษตรและอาหารของไทย
4) การส่งเสริมการสร้างเกษตรมูลค่าสูงผ่านการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ (Area-based) ซึ่งที่ผ่านมาหอการค้าฯ ได้มีการขับเคลื่อนเกษตรมูลค่าสูงที่ถือเป็นศักยภาพและโอกาสที่สำคัญของประเทศไทย โดยใช้จังหวัดเป็นผู้นำการขับเคลื่อนเนื่องจากมีความเข้าใจในศักยภาพของพื้นที่ โดยขับเคลื่อนในพื้นที่นำร่องแล้ว
7 จังหวัด รวมถึงตั้งเป้าขยายพื้นที่จังหวัดเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 5 จังหวัด ในปี 2567 ได้แก่ ชัยนาท เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ อุบลราชธานี และพัทลุง
5) การส่งเสริมธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต เสนอให้ผลักดันการจัดทำระบบอาหารที่มีการกล่าวอ้างอาหารเชิงหน้าที่ (FFC Thailand) เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกระดับสามารถยืนยันการกล่าวอ้างเชิงสุขภาพด้วยเอกสารหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบออนไลน์ โดยครอบคลุมผลผลิตการเกษตร อาหารปรุงสดและอาหารท้องถิ่น เพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตอาหารมูลค่าสูง พร้อมทั้งส่งเสริมนโยบายและขับเคลื่อนธนาคารอาหารของประเทศไทย (Cloud Food Bank) เพื่อความมั่นคงทางอาหาร
6) การส่งเสริมธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยหอการค้าไทย เสนอให้สนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งปลอดโรค พร้อมทั้งสนับสนุนแนวทางส่งเสริมและลดภาระต้นทุนการเลี้ยงให้กับเกษตรกร รวมไปถึงห่วงโซ่อุตสาหกรรม (Value Chain) ตลอดจนลดภาษีการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิต เป็นอาหารสัตว์
พร้อมทั้ง ได้ให้กระทรวงเกษตรฯ ส่งเสริมสินค้าเกษตร อาหาร ประมง และการอำนวยความสะดวกในการส่งออก-นำเข้า เพื่อการแก้ปัญหาวัตถุดิบภาคการประมงที่ไม่เพียงพอต่ออุตสาหกรรมการผลิต และการส่งออก ควรมีการผ่อนปรนการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำเพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าและส่งออกซึ่งต้องไม่กระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงภายในประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปกป้องสัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ ปลากะพง ปลานิล และกุ้งก้ามกราม เป็นต้น
7) การส่งเสริมธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งรัดยกระดับมาตรฐานฟาร์มปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มโคเนื้อ แพะเนื้อ และแพะนม พร้อมทั้งเสนอให้เร่งรัดการเพิ่มจำนวนโรงฆ่าสัตว์,
โรงตัดแต่งเนื้อสัตว์, โรงคัดบรรจุ ที่ได้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices) ทุกจังหวัดที่มีศักยภาพ ตลอดจนเร่งรัดปราบปรามผู้ลักลอบนำเข้าหรือส่งออกสินค้าปศุสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้ร้านค้าสินค้าปศุสัตว์ (โดยเฉพาะตลาดสด) เข้าร่วมโครงการปศุสัตว์ OK เพื่อสร้างมาตรฐานสินค้าคุณภาพ และสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับแก่ผู้บริโภค เป็นต้น