ใช้เงินแบบไหนถึงเป็นไปตามหลักวินัยทางการคลัง
การกลับมาของนโยบายประชานิยม ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ในการตอบสนองนโยบายดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ค่าเงินบาทอ่อนตัว หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่น่ากังวล และเศรษฐกิจโลกยังลูกผีลูกคน ไม่รู้ว่าจะทรุดต่อ ทรงตัว หรือเชิดหัวกลับมาได้
ท่ามกลางปัจจัยลบเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลควรทำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศ ประเทศคู่ค้า นักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ คือ จุดยืนที่ชัดเจนด้านวินัยทางการคลัง
มีงานวิจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์การคลังในระดับประเทศและการเปรียบเทียบระหว่างประเทศส่วนใหญ่ให้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลนั้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ผลกระทบจะเป็นบวกหรือลบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินที่ใช้หรือระดับการขาดดุลเพียงอย่างเดียว ปัจจัยแวดล้อมอื่นก็มีผลเช่นกัน โดยเฉพาะสภาวะเศรษฐกิจ คุณภาพ ความโปร่งใส่ และประสิทธิภาพในการใช้เงินงบประมาณก็มีผลเช่นกัน
เวลาพูดถึงวินัยทางการคลัง บางคนคิดว่าหมายถึงการที่รัฐบาลต้องรัดเข็มขัด ลดรายจ่ายไม่ให้งบประมาณขาดดุล ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเสียทีเดียว เพียงแต่ว่า คำจำกัดความแบบนี้ค่อนข้างจะคับแคบเกินไป
การจะประเมินว่ารัฐบาลไหนมีวินัยทางการคลังหรือเปล่า เราจะต้องเข้าใจถึงลักษณะของรายจ่ายประเภทต่างๆ ของรัฐบาล
โดยปกติแล้ว นักเศรษฐศาสตร์แบ่งรายจ่ายรัฐบาลออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน รายจ่ายกลุ่มแรกเป็นรายจ่ายเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน เช่น การซื้อปากกาดินสอมาให้ข้าราชการใช้เซ็นเอกสาร การจ่ายเงินเดือนข้าราชการตอบแทนการที่ข้าราชการให้บริการประชาชนในแต่ละเดือน รายจ่ายกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเพื่อให้กลไกของรัฐที่มีอยู่สามารถทำงานต่อไปได้
รายจ่ายกลุ่มที่สองเป็นรายจ่ายด้านการลงทุน เช่น การสร้างถนนหนทาง ท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ การลงทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว
เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รายได้ของประชาชนและธุรกิจมีมากขึ้น รัฐก็สามารถจัดเก็บภาษีได้ขึ้นตามไปด้วย หากผลตอบแทนที่ได้จากโครงการลงทุนมีมากกว่าต้นทุนที่ลงไปก็ถือว่ารายจ่ายด้านการลงทุนนั้นๆ คุ้มค่า
รายจ่ายประเภทที่สาม คือการถ่ายโอนเงินโดยมิได้รับผลตอบแทนกลับคืนมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายด้านสังคม เช่น การให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ การให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น
หากมองในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว รายจ่ายประเภทสุดท้ายนี้เป็นการโอนเงินจากผู้เสียภาษีไปให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง นโยบายในเชิงเงินโอนเหล่านี้เป็นความพยามยามของรัฐที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนกลุ่มต่างๆ และบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ด้วยเหตุนี้เอง การจะประเมินว่านโยบายที่เข้ากลุ่มรายจ่ายประเภทที่สามนี้ได้ผลมากน้อยแค่ไหนจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะจะคิดแต่ตัวเงินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ผลตอบแทนในเชิงสังคมและจิตวิทยา ซึ่งไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นเงินได้ก็ต้องนำมารวมไว้ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น กองทุนหมูบ้านถ้าเอาไปใช้แก้ปัญหาการขาดเงินทุน ช่วยให้คนในหมู่บ้านมีเงินทุนหมุนเวียนลงทุน ยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองได้ในระยะยาว ก็ถือว่าโครงการนี้ประสบผล
หากเอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย แบ่งกันในบรรดาเครือญาติของผู้ใหญ่บ้าน เผลอๆ เอาไปซื้อของที่ไม่ก่อรายได้ เช่น ทีวี ไปเที่ยวดูหนังสังสรรค์ ก็มีหวังแต่จะสูญเงินเหล่า
ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละหมู่บ้านมีวิธีการบริหารจัดการเงินไม่เหมือนกัน บางหมู่บ้านก็รุ่ง บางหมู่บ้านก็ทรงตัว บางหมู่บ้านหายเข้าป่ากู่ไม่กลับกันเสียแล้ว
ดังนั้น การจะเหมารวมว่านโยบายกองทุนหมู่บ้านหรือนโยบายประชานิยมอื่นๆ คุ้มค่าแต่ไหนต้องดูกันให้ตลอดรอดฝั่ง เริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์ วิธีการบริหารจัดการ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งประเมินโดยใช้หลักวิชาการ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง หากผลปรากฏออกมาว่าโดยรวมแล้วผลเสียมากว่าผลได้ นโยบายประชานิยมนั้นก็ถือว่าไม่คุ้มค่า
ถ้ารัฐยังดื้อดึงคิดทำต่อไป จะเป็นการสูญเงินรัฐโดยใช่เหตุ การใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาเท่าที่ควรแบบนี้เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าการขาดวินัยทางการคลัง
หากโครงการนั้นก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป ก็ถือว่าการใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ส่งผลเสียต่อวินัยทางการคลังของประเทศ
วินัยทางการคลัง จึงไม่ได้หมายถึงการขี้เหนียวตระหนี่ไม่ยอมจ่ายเงิน เอาแต่รักษางบประมาณให้สมดุลหรือเกินดุลเสมอไป
วินัยทางการคลังสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างบ้านเราน่าจะหมายถึง การรู้จักใช้จ่ายเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รู้จักบริหารจัดการเงินให้คุ้มค่า สร้างผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ ไม่เป็นภาระกับประชาชนและประเทศในระยะยาวต่างหาก ถึงจะเรียกว่า รัฐบาลมีวินัยทางการคลัง อย่างแท้จริง