“เศรษฐา”กล่อม“หอการค้าอเมริกัน” ร่วมเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจสมัยใหม่
“เศรษฐา”ขายฝันหอการค้าอเมริกัน ชวนเป็นหุ้นส่วนทันสมัย ผลักดัน อีวีถึงเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน โชว์โปรเจค"แลนด์บริดจ์ หนุนฮับโลจิสติกส์ภูมิภาค พร้อมร่วมเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสรุปสาระสำคัญในโอกาสที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานประชุมสามัญประจำปีของคณะนักธุรกิจจากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM’s Annual General Meeting) ภายใต้หัวข้อ “Thailand’s Trajectory : The Future is Bright” ว่า ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจ และขณะนี้ถึงเวลาลงทุนในไทยแล้ว”นายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามว่าประเทศไทยมีโอกาสอะไรให้นักธุรกิจสหรัฐฯ ว่ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง ยั่งยืน และครอบคลุม โดยยึด 3 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ไทยร่วมมือกับธุรกิจของสหรัฐ
ประเด็นแรก ความยั่งยืน เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานในทุกภาคส่วน ผ่านการริเริ่มโครงการเศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งไทยมีความพยายามอย่างแน่วแน่ที่บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งไทยพร้อมรองรับการลงทุนและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของสหรัฐในด้านพลังงานทดแทน เทคโนโลยีไฮโดรเจน ระบบกักเก็บพลังงาน รวมไปถึงเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
“ขอเชิญชวนกลุ่มธุรกิจให้ร่วมเป็นหุ้นส่วนที่ทันสมัยของประเทศไทย ซึ่งจะสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ภาคการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ การเกษตรขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EVs)”
ขณะเดียวกันในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน รัฐบาลยังมีแนวทางที่จะออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (SLBs) เพิ่มขึ้น และยินดีต้อนรับนักลงทุนในสหรัฐให้เป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) และสภาพภูมิอากาศ
ประเด็นที่สอง การสร้างการทำงานร่วมกันกับพันธมิตร รัฐบาลจะดำเนินการทูตเชิงรุกและเชื่อมโยงพันธมิตร ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และเพื่อปรับปรุงการเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค รัฐบาลวางแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย เช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ออกแบบการศึกษาและแผนการดำเนินงานโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) สะพานเศรษฐกิจภาคใต้ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดระนองฝั่งทะเลอันดามันกับจังหวัดชุมพรฝั่งอ่าวไทย ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ภายใต้แนวคิด “หนึ่งท่าเรือ สองฝั่ง” (one port, two sides) ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางผ่านช่องแคบมะละกา เพิ่มขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ของไทย
“ขอเชิญชวนนักลงทุนสหรัฐ เข้าร่วมโครงการนี้ด้วยนอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งหวังที่จะเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ๆ เพื่อขยายตลาดส่งออกของไทย รวมทั้งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของไทยภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด – แปซิฟิก (IPEF) ซึ่งไทยจะทำงานอย่างใกล้ชิดและไม่เหน็ดเหนื่อยกับสหรัฐ และพันธมิตร IPEF อื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่ง”
ประเด็นที่สาม การเติบโตผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และได้รับแรงผลักดันจากจำนวนประชากรที่เข้าใจเทคโนโลยีมากขึ้น กลยุทธ์เศรษฐกิจดิจิทัลที่มุ่งเน้นอนาคตและมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบนิเวศนี้ให้เข้มแข็งด้วยการใช้นโยบายและมาตรการเชิงนวัตกรรมหลายประการ
รวมทั้งการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงสัปดาห์ผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ในเดือนพ.ย.นี้ จะช่วยพัฒนาวิสัยทัศน์ดังกล่าวไทยมีความก้าวหน้ามากในด้านธุรกิจและเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“ไทยมีชื่อเสียงในด้านภาคการผลิตที่มีความยืดหยุ่น มีโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพ e-commerce เศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และแรงงานที่มีทักษะ โดยหวังว่าจะได้ร่วมงานเพิ่มเติมกับสมาชิก AMCHAM และธุรกิจอื่น ๆ ในสหรัฐ เพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี องค์ความรู้ และทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศดิจิทัล”
สำหรับปี 2566 ไทยและสหรัฐเฉลิมฉลองครบรอบ 190 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งขอให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนของเรา