2024 ปีแห่งภูมิรัฐศาสตร์
ในปี 2024 ผู้เขียนมองว่าเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน การกลับทิศ และภูมิรัฐศาสตร์ โดยแบ่งประเด็นเป็น 3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม และ 2 การเลือกตั้ง
ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลายสถาบันการเงินได้จัดสัมมนาประจำปีเพื่อฉายภาพเศรษฐกิจและการลงทุนปีหน้า ในส่วนของผู้เขียน ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก 3 สถาบันที่เชิญไปเป็นหนึ่งในวิทยากรในงานสัมมนา อันได้แก่
SCB CIO Forum ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Thailand Smart Money ผู้เขียนจึงขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ณ ที่นี้ และขออนุญาตนำมุมมองที่ได้พูดทั้งสามงานมาแลกเปลี่ยน ดังนี้
ในปี 2024 ผู้เขียนมองว่าเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน การกลับทิศ และภูมิรัฐศาสตร์ โดยแบ่งประเด็นเป็น 3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม และ 2 การเลือกตั้ง ดังนี้
1. เศรษฐกิจสหรัฐ หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจจีน ผู้เขียนมองว่า จะกลับทิศกันในระดับหนึ่ง เศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวดีในปี 2023 จะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2024 โดยจะขยายตัวชะลอลงจาก 1.9% ในปี 2023 เป็น 0.0% ในปี 2024
เศรษฐกิจอาจหดตัวในครึ่งปีแรก จากการขึ้นดอกเบี้ยที่รุนแรงและกระทบต่อภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคการคลัง ในขณะที่การลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปีจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
2. เศรษฐกิจจีน ผู้เขียนมองว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากมาตรการการเงินและการคลังที่อุดหนุนอย่างต่อเนื่อง ภาคการเงินจากมาตรการอัดฉีดของธนาคารพาณิชย์ ที่อัดฉีดทั้งสินเชื่อภาคประชาชน ภาครัฐบาลท้องถิ่น และภาคอสังหาฯ
ขณะที่ภาคการคลัง จะเริ่มได้รับผลจากมาตรการการคลัง 1 ล้านล้านหยวน ทำให้การลงทุนของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มขึ้นในปีหน้า
นอกจากนั้น สถานการณ์ด้านสงครามเย็นระหว่างประธานาธิบดีไบเดนและสีจิ้นผิงที่ดูผ่อนคลายลงหลังการประชุม Sideline ระหว่างการประชุม APEC เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น เงินฝืด ฟองสบู่อสังหาฯแตก สังคมสูงวัย และหนี้ประชาชาติที่ยังสูง จะยังคงกดดันเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง
3. เศรษฐกิจไทย ในปี 2024 มุมมองเศรษฐกิจไทยอาจแบ่งเป็น 2 กรณีขึ้นอยู่กับมาตรการ digital wallet เป็นหลัก โดยหากทำได้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.1% จากมาตรการ Digital Wallet ที่จะกระตุ้นการบริโภค และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนเอกชนเพิ่มเติม แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อน จะทำให้ดอกเบี้ยต้องขึ้นต่อ
แต่หากมาตรการไม่ผ่าน เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.2% จากการบริโภคและลงทุนที่ถูกกระทบจากหนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจโลกถดถอย และเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว แต่ดอกเบี้ยอาจทรงหรือลงได้
4. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในปี 2023 สถานการณ์มาถึงทางตัน โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถชนะได้อย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2024 การเลือกตั้งสหรัฐจะมีผลต่อสงครามอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากทรัมพ์ชนะการเลือกตั้ง อาจยกเลิกการสนับสนุนยูเครน รวมถึงอาจจะออกจากการเป็นสมาชิกนาโต้ ท่ามกลางกระแสต่อต้านการสนับสนุนยูเครนที่มีมากขึ้น (โดยเฉพาะในฝั่ง Republican)
ทำให้ผู้เขียนมองว่า รัฐบาลไบเดนในปัจจุบัน อาจเปลี่ยนกลยุทธในสงคราม โดยผลักดันให้ยูเครนเริ่มทำสัญญาสงบศึก โดยแลกเปลี่ยนกับคำสัญญาจะให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาประเทศยูเครนหากสงครามสงบลง
5. สงครามอิสราเอล-ฮามาส ในปัจจุบัน พัฒนาการสงครามดีขึ้นระดับหนึ่ง กล่าวคือ เริ่มมีข้อตกลงหยุดยิง และมีการคืนตัวประกันบางส่วน คล้ายกับในช่วงเกิดความขัดแย้งในปี 2014
ดังนั้น ในมุมมองกลาง ผู้เขียนมองว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ คลี่คลายภายในช่วงไตรมาส 1 โดยประเด็นสำคัญ คือจะต้องมีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน ของทั้งสองฝ่าย รวมถึงทางฮามาสอาจจะต้องส่งผู้ที่รับผิดชอบหลักในการโจมตีอิสราเอล ณ วันที่ 7 ต.ค. ให้กับทางอิสราเอล
6. การเลือกตั้งไต้หวันและความขัดแย้งกับจีน พัฒนาการล่าสุดด้านการเลือกตั้งไต้หวันในวันที่ 13 ม.ค. 2024 โดยปัจจุบันมี 3 ผู้สมัครชั้นนำ คือ
(1) รองประธานาธิบดีท่านปัจจุบันจากพรรครัฐบาลซึ่งมีมุมมองขัดแย้งกับรัฐบาลจีน
(2) ตัวแทนจากพรรค KMT ที่เป็นฝ่ายค้านหลัก และ
(3) อดีตนายกเทศมนตรีนครไทเปจากพรรค TPP โดย 2 พรรคหลังสนับสนุนนโยบายจีนเดียว ทั้งนี้ คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดียังสูงกว่าพรรคฝ่ายค้านเล็กน้อย
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ กองทัพจีนอาจไม่พร้อมสำหรับสงครามจีน-ไต้หวันในระยะใกล้ โดยแม้ว่าจะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย และน่าเกรงขาม แต่พิจารณาให้ละเอียดจะพบว่ายังมีจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่
(1) การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ (2) ด้านเทคโนโลยี (3) ด้านคอรัปชั่น (4) เศรษฐกิจที่อ่อนแอ และ (5) นโยบายรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของสีจิ้นผิง ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการถกเถียงเรื่องนโยบายได้อย่างจริงจังอีกต่อไป ทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายก็แย่ลงตามไปด้วย
ภาพดังกล่าวทำให้วิเคราะห์ได้ว่า
(1) เศรษฐกิจจีนอ่อนแอกว่าที่ทางการจีนเคยคาดไว้ และทำให้ทางการจีนต้องหันไปให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น
(2) กองทัพประชาชนปลดแอกของจีน (PLA) อ่อนแอกว่าที่หลายฝ่ายเคยวิเคราะห์ แต่
(3) เป็นไปได้ที่ตัวแทนจากพรรครัฐบาลไต้หวันเดิมจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามระหว่างจีนและไต้หวันในปีหน้าไม่น่าจะมากนัก
7. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มีโอกาสสูงที่จะเป็นการแข่งขันระหว่างไบเดนและทรัมพ์ และมีโอกาสสูงถึง 40-50% ที่ทรัมพ์จะชนะการเลือกตั้งถ้าไม่พลาดจากประเด็นด้านคดีความ
ทั้งนี้ ในระยะต่อไป เศรษฐกิจสหรัฐจะเสี่ยงมากขึ้นจาก (1) ราคาสินค้าที่อยู่ในระดับสูงยาวนานและไม่น่าจะลดลงได้โดยง่าย (2) ภาระดอกเบี้ยที่ยังจะคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเงินเฟ้อจะลดลงยากมากขึ้น (3) ตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอลงและจะชะลอต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลลบต่อไบเดนและเป็นบวกต่อทรัมพ์
ดังนั้น ตลาดจะกังวลมากขึ้นหากทรัมพ์มีคะแนนนำในโพล ในหลายประเด็น เช่น
(1) สิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน (ทรัมพ์ไม่เชื่อภาวะโลกร้อน)
(2) มาตรการการค้า (ทรัมพ์จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 10% ทั่วโลก)
(3) มาตรการการคลัง (ทรัมพ์จะลดภาษีคนรวย-แต่จะลดสวัสดิการรัฐ) รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งใน
(4) ตะวันออกกลาง (ทรัมพ์สนับสนุนซาอุฯ และอิสราเอล แต่ต่อต้านอิหร่าน)
(5) รัสเซีย-ยูเครน (ทรัมพ์อาจยกเลิกการสนับสนุนยูเครน รวมถึงออกจาก NATO) และ
(6) จีน (ทรัมพ์อาจเน้นสงครามเย็นกับจีนให้แรงขึ้น โดยยกความสำเร็จของตนในการทำสงครามการค้ากับจีนมาเป็นตัวอย่าง)
เศรษฐกิจจีนและสหรัฐกลับทิศ สงครามไม่น่ารุนแรงขึ้น แต่ทรัมพ์จะเป็นความเสี่ยงหลัก เหล่านี้คือคำทำนายเศรษฐกิจการเมืองโลกในปี 2024
แต่ในโลกแห่ง VUCA อะไรก็เกิดขึ้นได้ ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด.