รัฐบาลปล่อยหลุดตัวเลขคลัง คาดการณ์ศก.ปี 66 โตแค่ 1.8% ต่ำกว่า ธปท.คาดที่ 3.6%
โฆษกรัฐบาล เผยแพร่เอกสารกระทรวงการคลัง ล่วงหน้าก่อนแถลงข่าวคาดการณ์เศรษฐกิจ 66 -67 1 วัน ชี้ตัวเลขปี 66 ศก.โตได้แค่ 1.8% ต่ำกว่าที่แบงก์ชาติคาดต้นปีก่อนที่ 3.6%
- รัฐบาลอยู่ระหว่าง ชี้แจงกับสังคมว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ขั้นวิกฤติ เพื่อให้ สอดคล้องกับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน เพื่อใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต
- วันนี้โฆษกรัฐบาลได้เผยแพร่ เอกสารการแถลงข่าวคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 ล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนที่กระทรวงการคลังจะแถลงพรุ่งนี้
- เนื้อหาพูดถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 1.8% ขณะที่ในปี 2567 จะขยายตัวได้ประมาณ 2.8%
- โฆษกรัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าตัวเลขจีดีพีที่คาดการณ์ต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ 3.6% มาก
วันนี้ (23 มกราคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่เอกสารการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และ ปี 2567 ของกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า สรุปแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% เทียบกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เอาไว้เมื่อต้นปี 2566 ว่าจะเติบโตถึง 3.6% ถือเป็นการเติบโตที่ถดถอยลงกว่าปี 2565 ที่เติบโต 2.6%
ทั้งนี้เอกสารดังกล่าวประทับตราเอกสารลับ และมีกำหนดที่จะแจกเป็นเอกสารแถลงข่าวกับสื่อมวลชนในวันที่ 24 ม.ค.โดยมีเนื้อหาระบุถึง ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 และ 2567
"เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.8% ต่อปี และเร่งตัวขึ้นเป็น 2.8% ต่อปีในปี 2567 จากภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวสูง และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มาจากภาคการท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูง และการบริโภค
สำหรับในปี 2567 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 2.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยล 2.3 ถึง 3.3% ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปี 2566 และเป็นการขยายตัวที่มาจากทุกเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวสูง ในภาคการท่องเที่ยวคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 33.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 19.5% ต่อปี เป็นการเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและมาเลเซีย มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% ต่อปี
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่า "เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.6 ถึง 2.0%) ชะลอลงจากปี 2565 ที่ขยายตัว 2.6%
โดยมีปัจจัยสำคัญจากการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์ และคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้า ทั้งปี 2566 คาดว่าจะหดตัวที่ 1.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ -1.8 ถึง -1.3%) ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ขณะที่มูลค่าการนำเข้าจะหดตัวที่ -1.9% (ช่วงคาดการณ์ที่ -2.2 ถึง -1.7%)
ส่งผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยวและสาขาที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น คาดว่าการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อย ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวที่ 4.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.7 ถึง 4.7%) และมูลค่าการนำเข้าสินค้าจะขยายตัวที่ 4.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยล 3.5 ถึง 4.5%)
สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.8 ถึง 3.8%) ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ในประเทศ
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ 3.2% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7 ถึง 3.7%) ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.5 ถึง 1.5%) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ
ดุลบริการมีแนวโน้มจะกลับมาเกินดุลตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะกลับมาเกินดุล 10.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.8% ของ GDP
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพในระยะยาวนั้น ควรให้ความสำคัญใน 3 ประเด็น ดังนี้
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development) เช่น การพัฒนาการใช้พลังานที่ยั่งยืน การลงทุนในด้านดิจิทัล และการพัฒนาด้านคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาคต่าง ๆจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ และทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางในระดับภูมิภาคได้
2.การพัฒนาทักษะ (Skills Development) การเตรียมแรงงานให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจโลกมีความสำคัญและจะส่งเสริมความสำเร็จใน ระยะยาวได้ดี
3. การรักษาเสถียรภาพทางการคลัง (Fiscal Stability) มุ่งมั่นในการบริหารจัดการการคลังอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงการใช้จ่ายของรัฐและระดับหนี้สาธารณะอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายต่างๆ ในอนาคตได้
นอกจากนั้น ยังควรติดตามปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ
1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ที่อาจรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ สถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น และความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเชียและยูเครน
2. สถานการณ์การเลือกตั้งผู้นำของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศรัสเชีย และประเทศ อินเดีย เป็นต้น ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของไทย
3. ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศ สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
4. สถานการณ์เศรษฐกิจของจีน ที่อาจส่งผลต่อการส่งออกและการฟื้นตัวของ ภาคการท่องเที่ยวของไทย
ต่อมาในเวลา 11.00 น.นายชัย ได้ชี้แจงว่า ข้อมูลรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของกระทรงการคลัง ยังเป็นเพียงฉบับร่างเท่านั้น ยังจะต้องมีการตรวจทานความถูกต้องทั้งตัวเลขและข้อความอยู่
ดังนั้นขอได้โปรดอย่างเพิ่งนำออกไปเผยแพร่จนกว่าจะได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย ก่อนที่จะลบไฟล์ข่าวดังกล่าวออกไป