กกร.ชี้ กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% สวนทางความต้องการนักธุรกิจ
"กกร." ชี้ "กนง." มีมาตรการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีทั้ง บวกและลบ เชื่อธปท.จะหาทางออกที่ดีกับภาพรวม ขณะเสนอรัฐบาลใช้มาตรการทุ่มตลาดสินค้าจากจีน ยกระดับมาตรฐาน สมอ. สกัดสินค้า Free Trade Zone เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เอสเอ็มอี
นายทวีปิยะพัฒนา รองประธานอวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงนโยบายการเงินที่จะมีการพิจารณาดอกเบี้ยของไทย โดยมีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี ต่อไป ซึ่งสวนทางกับความต้องการของนักลงทุนและภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว และไม่มีแรงการสนับสนุนการลงทุน โดยท่าทีของเอกชนส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
ในเรื่องนี้ที่ประชุมมีความเห็นที่หลากหลาย โดยให้รอฟังนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ช่วงบ่าย (วันที่7 กุมภาพันธ์ 2567) โดยการ กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ คิดว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีข้อมูลเชิงลึกและมีข้อเสนอแนะที่ดีต่อภาพรวมการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมองถึงอัตราเงินเฟ้อค่าเงินในทุกๆด้าน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่สามารถเลี่ยงได้โดยฝั่งเอกชนจะพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมกกร.สนับสนุนการดำเนินมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเล็งเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และยั่งยืน ซึ่งจะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ โดยขอให้ ธปท. ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการต่อการเข้าถึงสินเชื่อด้วย เนื่องจากบางส่วนมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางการเงิน สร้างวินัย ทางการเงินที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนจัดการการเงินที่เหมาะสม ใช้สินเชื่อเท่าที่จำเป็นและตรงวัตถุประสงค์ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศได้อย่างยั่งยืน
เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน สะท้อนจากรายงานของ World Economic Forum ล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ไทยยังทำได้ไม่ดีนักจากการจัดอันดับด้าน Future of Growth โดยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงความเหลื่อมล้ำ (Inclusiveness) ความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Resilience) ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดความแตกต่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มต่างๆ รวมถึงลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยภาคธุรกิจจะต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพ ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
นอกจากนี้กกร. มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้า ผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ประเด็นเหล่านี้ ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้ง การออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention: AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เป็นต้น
“ คลังสินค้าที่เก็บสินค้าผ่านแดน แต่ปัจจุบันมีคนนำสินค้านั้นมาจำหน่ายในประเทศ เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะไม่ต้ วเสียภาษีนำเข้าแล้ว ยังไม่เสีย VAT ทำให้ สินค้า เอสเอ็มอีของไ ยไม่สามารถแข่งขันได้ สินค้ากลุ่มนี้ต้องให้ผ่านแดนประเทศไทยไปที่อื่นเท่านั้น รวมทั้งรัฐบาล ควรยกระดับมาตรฐานสินค้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อป้องการการนำเข้าสินค้าจากจีน”
สำหรับสินค้าจากจีนที่เข้า ทุ่มตลาดไทยนั้น กกร. เห็นว่ารัฐบาลควรใช้มาตรการทุ่มตลาดในรายสินค้าด้วย โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอภาครัฐ เช่นกางเกงช้าง เป็นต้น เพราะต้นทุนการผลิตของไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ไทยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่สะเทือนไปทั้งอาเซียนและสินค้าอีคอมเมิร์ซ ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์
ชี้ท่องเที่ยวช่วยเพิ่มแรงหนุนเศรษฐกิจ
สำหรับเป้าหมายของภาครัฐ ที่ต้องการให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศในปี 2567 ที่จำนวน 35 ล้านคน ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศกว่า 3 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดแรงหนุนทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม กกร. มีความกังวลต่อความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงขอเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น
ส่วนข้อเสนอเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างต่อการพัฒนาประเทศ โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 2.6% ของ GDP ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมก่อสร้างยังมีความสำคัญในด้านการจ้างงานที่สำคัญ และมีสัดส่วนการจ้างงานมากกว่า 2 ล้านคน แต่ปัจจุบันปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มศักยภาพ และหลายส่วนยังต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การอ้างอิงราคาในอดีตไม่สะท้อนต้นทุนจริง เน้นราคาต่ำ กระบวนการการจัดชั้นและการคัดเลือกยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้า ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดจ้างงานก่อสร้างภาครัฐ ดังนี้
1. ปรับแนวคิดในกฏหมาย จากการเน้นประโยชน์หน่วยงานของรัฐ ไปสู่ประโยชน์สาธารณะ
2. ปรับการคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุนจริง
3. ปรับแบบสัญญาจัดจ้าง โดยการขอแก้ไขกฏหมาย และ แก้แบบสัญญา
4. กำหนดเงื่อนไขการคัดเลือกผู้รับเหมา โดยเสนอแก้ไขกฏหมาย ที่กำหนดเงื่อนไขในการ คัดเลือกผู้รับเหมาอย่างโปร่งใส
5. สร้างกลไกปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ กกร. ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ อาทิ เช่น การใช้ Local Content ภายในประเทศ หรือวัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Made in Thailand และเครื่องหมายรับรอง Green Product โดยจะมีการรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาต่อไป
ที่ประชุมกกรยังได้รายงานเศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน หลีกเลี่ยงการชะลอตัวรุนแรงได้ เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ที่ราว 3% ปรับตัวดีกว่าประมาณการเดิมเล็กน้อยตามคาดการณ์ของ IMF และ OECD เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งแม้ดอกเบี้ยสูง และเศรษฐกิจจีนที่คาดจะมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในเดือนมกราคม ที่ดีขึ้น
การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 2-3% ในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่และวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์หลายปัจจัย ทั้ง
- การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ
- ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวง โดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาสที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่ม และกระทบกับราคาพลังงาน
- ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน
- การแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้านเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด