3 เงื่อนไข 3 สูตรเฟ้นหา ‘หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ’ ขับเคลื่อน ‘นโยบายสำคัญ’ รัฐบาล
จับตาปรับ ครม.ใหม่ “เศรษฐา2” หาตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เหมาะสมนั่งรองนายกฯ อาจควบ รมว.คลัง เงื่อนไขนายใหญ่ต้องเชื่อมแนวคิดกับนโยบาย – มีบารมีมากพอ – สร้างความเชื่อมั่นได้ เปิด 3 สูตร คนใน – คนนอกพรรค จ่อขยับตำแหน่ง – ตั้งใหม่ เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจให้สำเร็จ
เป็นที่ทราบกันดีว่าเร็วๆนี้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหลังจากที่รัฐบาลบริหารประเทศมาครบ 6 เดือน โดยห้วงเวลาที่จะมีการ “ปรับ ครม.” ถูกกำหนดไว้คร่าวๆในช่วงกลางเดือน เม.ย. ไปจนถึงเดือน พ.ค.หลังจากที่ปิดสมัยประชุมสภาฯ และงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ประกาศใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และไม่ว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้จะเป็นการปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ตำแหน่งหนึ่งที่พูดถึงว่าควรมีการปรับคือตำแหน่ง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” หรือรองนายกรัฐมนตรีที่จะมากำกับดูแลงานเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเศรษฐา 1 ยังขาดอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาด้วยภาระงานและการบริหารงานแบบ “เศรษฐา ทวีสิน” นั้นไม่สามารถที่จะดูแลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมทั้งก็ไม่เหมาะสมที่จะนั่งในเก้าอี้รัฐมนตรีคลังต่อไป จึงจำเป็นที่จะต้องมีการหาคนที่เข้ามาดูแลงานในส่วนนี้ให้สามารถขับเคลื่อนไปได้เพื่อปิดจุดอ่อนในส่วนนี้ของรัฐบาลโดยเร็ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือก “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลบุคคลที่จะเข้ามามีบทบาทในการเลือก หรือเคาะคนที่จะมานั่งตำแหน่งนี้คือ “นายใหญ่แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” ซึ่งเริ่มมีการเฟ้นหาคนที่เหมาะสมจะมานั่งในตำแหน่งนี้แล้ว โดยมี 3 เงื่อนไขที่กำหนดไว้คือ
1.มีความเข้าใจและต่อติดกับแนวคิดของนายใหญ่ได้โดยตรง สามารถแปลงแนวคิดเป็นนโยบาย และจากนโยบายไปสู่แนวทางปฏิบัติได้
2.มีบารมีมากพอที่จะโน้มน้าว สั่งการข้าราชการทั้งในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆได้ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายไม่สะดุดเหมือนที่ผ่านมา
และ 3.เป็นคนที่เครดิตดีพูดแล้ว นักธุรกิจ นักลงทุน ประชาชนให้ความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
จากคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยจำแนกให้ฟังว่ามี 3 แนวทางในการเฟ้นหาบุคคลมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งอาจเรียกได้ว่า 3 สูตรเพื่อหาคนที่เหมาะสมที่สุดมานั่งในตำแหน่งนี้
สูตรที่ 1 รองนายกรัฐมนตรี ควบรวม.คลัง จากคนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งสูตรนี้คนที่อยู่ในข่ายที่สามารถเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และควบ รมว.คลัง ได้แก่ นพ.แพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ถือว่าอยู่ในโควตาของพรรคเพื่อไทยที่มีคุณสมบัติตามที่นายใหญ่กำหนดไว้ แต่ขึ้นกับว่าใครเหมาะสมลงตัวที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน
สูตรที่ 2 รองนายกรัฐมนตรี ควบรมว.คลัง จากบุคคลนอกพรรค ซึ่งเป็นโมเดลที่น่าสนใจเพราะว่า หากสามารถใช้คนที่สังคม และภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นสูงก็จะสร้างโมเมนตัมที่ดีในการบริหารงานเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่คนนอกที่จะเข้ามาในตำแหน่งนี้ก็ต้องสามารถเชื่อมโยงกับนายใหญ่และมีสายสัมพันธ์ที่ดี โดยในสูตรนี้ชื่อของพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นชื่อที่มาแรงว่าอาจเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ของรัฐบาล
และ สูตรที่ 3 สูตรผสม ระหว่างคนในพรรคและคนนอกพรรค ซึ่งสูตรนี้ถือว่าเปิดกว้าง อาจจะมีการขยับตั้งคนที่มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีให้ดูด้านเศรษฐกิจ โดยใช้คนในพรรคที่มีบารมีและความสามารถมากพอเพื่อมาคัดหางเสือคุมทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ และอาจตั้ง รมว.คลังจากบุคคลภายนอกเข้ามารับตำแหน่ง หรืออาจจะสลับกันตั้งรองนายกฯจากบุคคลภายนอกที่เหมาะสมซึ่งเป็นคนนอกพรรคเข้ามาดูนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมก็ได้ และตั้งคนจากพรรคเข้ามาเป็น รมว.คลังคนใหม่ก็ได้
ซึ่งสูตรนี้อาจจะเป็นพิชัย ชุณหวชิร ที่จะมานั่งรองนายกรัฐมนตรีดูภาพรวมเศรษฐกิจ และตั้งบุคคลอื่นเป็น รมว.คลัง ได้เช่นกัน โดยในพรรคเองก็มีคนที่มีความเหมาะสมจะเป็น รมว.คลัง เช่น พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อาจได้รับโอกาสให้เป็น รมว.คลัง หลังจากที่เคยเป็น รมว.พลังงาน และรมช.คลังมาก่อนหน้านี้
สูตรที่จะได้มาซึ่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ของรัฐบาล รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญอย่าง "ขุนคลัง" สุดท้ายจะใช้สูตรไหน และจะได้ใครมาทำหน้าที่สำคัญในรัฐบาลอีกไม่นานคงจะได้รู้กัน