'บีโอไอ' หนุนโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ของ 'ธอส.' ราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน
"บีโอไอ" ออกมาตรการพิเศษ เปิดส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย” ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านรับนโยบายรัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ ตามโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 3 ของ "ธอส."
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ ส.1/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถ
มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สานต่อโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ “บ้านล้านหลัง” ระยะที่ 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
และเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลในการขอรับการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอได้กำหนดเงื่อนไขว่าต้องจำหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดา ในราคาหน่วยละไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นเกณฑ์เดียวกันทุกพื้นที่ ทั้งประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ (บ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว) หรือแนวสูง (อาคารชุด-คอนโดมิเนียม) โดยบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร
และกรณีก่อสร้างอาคารชุด ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร นอกจากนี้ จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐาน เช่น กล้องวงจรปิดทั้งโครงการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พื้นที่ส่วนกลางและที่จอดรถในสัดส่วนที่เหมาะสม ฯลฯ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจาก ธอส. ก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริม
โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยวงเงินที่นำมายกเว้นภาษีเงินได้ฯ จะไม่เกินกว่าเงินลงทุนส่วนค่าก่อสร้างถนน สาธารณูปโภค หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ใช้เป็นส่วนกลางสำหรับสาธารณประโยชน์ของโครงการเท่านั้น โดยผู้ที่ประสงค์จะขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องยื่นคำขอภายในปี 2568
ทั้งนี้ บีโอไอได้เคยให้การส่งเสริมกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในช่วงปี 2536 – 2557 และกลับมาให้การส่งเสริมอีกครั้งในปี 2563 ตามข้อเสนอของ ธอส. ภายใต้โครงการบ้านล้านหลัง โดยมีโครงการที่ยื่นขอเมื่อปี 2563 ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมแล้วจำนวน 44 โครงการ จาก 11 บริษัท ซึ่งอยู่ในรูปแบบคอนโดมิเนียมทั้งสิ้น รวมจำนวน 34,900 ห้อง ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม และชลบุรี
“ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีพของประชาชน และถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดส่วนหนึ่งของครอบครัว บีโอไอจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ โดยช่วยเพิ่มทางเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลที่ตั้งที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี และเป็นที่พักที่มีมาตรฐานในระดับราคาเหมาะสม อีกทั้ง ยังเป็นการกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ได้รับประโยชน์อีกเป็นจำนวนมาก” นายนฤตม์ กล่าว