'ภาคขนส่ง' จ่อพบนายกฯ ขอความชัดเจนอุดหนุนราคา 'ดีเซล'
"ภาคขนส่ง" ขอพบนายกฯ ฟังนโยบายดูแลพลังงาน หลัง "กองทุนน้ำมัน" ติดลบกว่าแสนล้าน หวังเป็นแนวทางการกำหนดราคากับผู้จ้างงาน ระบุ "ดีเซล" ปรับขึ้น 1 บาท กระทบต้นทุน 3% ทันที
KEY
POINTS
- "สมาคมขนส่ง" ระบุ ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำมัน ทุก 1 บาท ค่าขนส่งจะขึ้นมาประมาณ 3%
- อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ว่าจ้างว่าราคาน้ำมันมีการปรับขึ้น ยอมรับการทำธุรกิจก็ต้องแข่งขัน ปัจจุบันเลิกกิจการไปไม่ต่ำกว่า 30%
- 10 สมาคมขนส่ง อยู่ระหว่างขอเข้าพบรัฐบาล เพื่อขอฟังนโยบายที่ชัดเจน ยอมรับไม่ได้กดดันว่าจะไม่ให้ปรับขึ้นราคาน้ำมัน
จากกรณีที่ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมัน (กบน.) ได้ตัดสินใจปรับการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้มีการขยับเพดานราคาดีเซลขึ้น 1 บาท ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 26 มี.ค.2567 ขยับขึ้น 50 สตางค์ และวันที่ 20 เม.ย.2567 ขยับขึ้นอีก 50 สตางค์ ส่งผลให้เพดานราคาอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร
เหตุผลสำคัญของการปรับเพดานราคาดีเซลในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 14 เม.ย.2567 ติดลบ 103,620 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน ติดลบ 56,407 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 47,213 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับการติดลบสูงที่สุดของรัฐบาล "เศรษฐา ทวีสิน" นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ 7 เดือน
นายศุภศักดิ์ รุ่งเจิดฟ้า ที่ปรึกษาสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า จากกรณีที่ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งขณะนี้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะติดลบทะลุกว่า 1 แสนล้านบาทแล้ว อีกทั้งกระทรวงการคลังไม่มีการต่ออายุลดภาษีน้ำมันดีเซล ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ปรับราคาน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจทุกวันนี้ถือว่าได้รับผลกระทบและลำบากมากอยู่แล้ว ราคาดีมานด์ซัพพลายไม่สมดุล ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ผู้ประกอบการก็จะอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว หากเพิ่มราคาน้ำมันขึ้นมาอย่างไรก็ต้องปรับราคาขึ้นมาเช่นกัน เพราะหากไม่ปรับราคาก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งนั่งก็หมายถึงราคาสินค้าก็จะต้องปรับขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ในช่วงแรกที่กระทรวงพลังงานปรับขึ้นน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร ธุรกิจก็ยังประคองตัวเองอยู่ แต่ก็อาจจะไม่นาน ถ้าจะขึ้นอีกมากกว่านี้ มองไว้ว่าภาคขนส่งก็จะต้องขึ้นแน่นอน จากที่เคยขึ้น 1 บาท ค่าขนส่งจะขึ้นมาประมาณ 3% ถือเป็นหลักการ อีกทั้ง ซึ่งที่ผ่านมาภาคขนส่งจะต้อปรับขึ้น 1.5% ถือเป็นกำไรที่เคยมีอยู่ก็จะหายไป ซึ่งตอนนี้ก็ยังทนอยู่ได้แต่ไม่ถึงกับขาดทุน แต่กำไรแทบไม่เหลือเลย
"ตอนนี้ก็มีการเจรจากับผู้ว่าจ้างแล้วว่าราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นซึ่งผู้จ้างก็ขอให้เราคงราคาค่าขนส่งไปก่อน เขาจะมีปัญหาเรื่องตลาดอีก หากขึ้นแล้วก็จะไปสู้รายอื่นไม่ได้ มันโยงกันหมดเป็นลูกโซ่เป็นทอดๆ ยอมรับว่าทุกวันนี้การทำธุรกิจก็ต้องแข่งขัน จริงๆ ผู้ประกอบการหลักๆ ที่ยังอยู่ได้ เพราะพื้นฐานเก่าเขาดีอยู่ แต่ถ้าพื้นฐานไม่ดีจริงก็เลิกไปเยอะ โดยปัจจุบันนี้มีการเลิกกิจการไปไม่ต่ำกว่า 30%"
นายศุภศักดิ์ กล่าวว่า สัดส่วนการเลิกดำเนินธุรกิจ มาจาก อาทิ ผู้ประกอบการบางคนมีเงินทุนอยู่แล้วเมื่อเห็นทิศทางราคาน้ำมันเป็นแบบนี้ก็เบื่อและไม่อยากทำธุรกิจต่อ จึงเลิกและนำเงินทุนไปดำเนินธุรกิจอื่นแทน อีกส่วนคือ ผู้ประกอบการไม่มีทุนที่จะดำเนินการต่อจึงเลิกดำเนินการ อีกส่วนที่น่าเห็นใจคือ ขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจจึงต้องปิดกิจการถาวร
ทั้งนี้ สมาคมฯ ทั้ง 10 สมาคม อยู่ระหว่างขอเข้าพบรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพราะที่ผ่านมาเห็นแต่ออกมาพูดแต่ก็ไม่ทำอะไรเลย จึงจะมุ่งไปที่ผู้ที่มีอำนาจตัวจริงอย่างนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือและขอฟังนโยบายที่ชัดเจน ยอมรับว่าไม่ได้ขอพบเพื่อจะกดดันว่าจะไม่ให้ปรับขึ้นราคาน้ำมัน แต่เจตนารมณ์คือขอฟังนโยบายที่ชัดเจนว่านโยบายรัฐบาลจะไปอย่างไร เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินธุรกิจต่อไป
"เราก็ไม่อยากให้มองว่าเราจะไปบังคับว่าไม่ให้ขึ้นราคา อันนั้นพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะถ้าจะขึ้นราคาจริงๆ เราจะได้มีแนวทางเพื่อตอบผู้ว่าจ้างที่ชัดเจน เพราะประชาชนก็รับรู้แล้วว่าต้นทุนเพิ่มขึ้น หากภาครัฐจะขอให้ยืนพื้นราคาไว้ก่อน ก็ควรเอาเงินมาให้เราใช้บ้าง"
นอกจากนี้ ยังยืนยันคำเดิมถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล กรณีจะมอบบัตรส่วนลด เหมือนที่เคยบอกจะให้ ส่วนตัวมองว่าบัตรส่วนลดเป็นช่วงทางในการทุจริต เพราะประเทศไทยมีคนจ้องที่จะคอร์รัปชั่น ถ้ามีการช่วยเฉพาะกลุ่มจะเป็นช่องทางให้มีการโกงแน่นอน จะเห็นได้ว่า ช่วงที่สมาคมฯ มีการประท้วง รัฐบาลเรียกเข้าไปหารือและจะช่วยเฉพาะกลุ่ม สมาคมฯ ปฏิเสธ เพราะมองว่าเงินที่จะมาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหลือแค่ 50% แล้วประเทศจะได้อะไร มีแต่เสียกับเสีย
ดังนั้น การที่รัฐบาลปรับราคาน้ำมันจริง ๆ 1 บาท ภาคขนส่งก็จำเป็นจะต้องขึ้น 3% ดังนั้นจึงต้องขอคุยกับภาครัฐก่อนถึงนโยบาย เพื่ออธิบายกับผู้ว่าจ้างตามความเป็นจริง ซึ่งขณะนี้ได้ประสานกับทางนายกฯ อยู่ คาดว่าภายในเดือนนี้น่าจะได้หารือกับรัฐบาล ยืนยันว่าจะไม่ไปประท้วง เพราะที่ผ่านมาไม่เห็นผลอะไร และเสียเงินเป็นแสนๆ จึงจะไปในลักษณะตัวแทนของ 10 สมาคมฯ มากกว่า
"เราต้องฟังเสียงจากสมาชิกในทุกสมาคมก่อน เพราะแอคชั่นทีก็ใช่เงินเยอะไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท เรื่องนี้พูดตรง ๆ ถ้าเศรษฐกิจดีก็ไม่เดือดร้อน เรามองในทางที่ดีกว่านี้เยอะว่ารัฐบาลกลับมาเศรษฐกิจจะดีกว่านี้เยอะ แต่ไม่ดีขึ้น จึงต้องดูว่าจะเอาอย่างไรต่อ เพราะขณะนี้การปฏิเสธสินเชื่อเยอะ คนที่เข้าถึงได้คือคนที่ไม่เดือดร้อน มีทรัพย์สิน ส่วนคนเดือดร้อนคือเอสเอ็มอีที่ยื่นไปก็ไม่ผ่าน"