"คลัง" สรุปผลประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก-IMF เตรียมพร้อมไทยเจ้าภาพปี 69
"คลัง" เผย 3 ประเด็นสาระสำคัญการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Spring Meetings) และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องประจำปี 2567 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2569
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 18 – 19 เม.ย.2567 นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในฐานะผู้ว่าการสำรองชั่วคราวของไทยในธนาคารโลก ได้เข้าร่วมการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Spring Meetings) ประจำปี 2567 โดยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก (Development Committee Meeting) ครั้งที่ 109 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (การประชุมฯ) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายอาเจย์ บังกา (Ajay Banga) ประธานธนาคารโลก นางคริสตาลินา จอร์จีวา (Kristalina Georgieva) กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหวางประเทศ (IMF) และผู้ว่าการธนาคารโลกของ 25 กลุ่มออกเสียงที่เป็นตัวแทนของประเทศสมาชิก 189 ประเทศ โดยมีหัวข้อการประชุมคือ “From Vision to Impact: Implementing the World Bank Group Evolution”
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 109 สรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้
1. ที่ประชุมฯ ได้ติดตามความคืบหน้าของการวิวัฒน์ธนาคารโลก (Evolution of the World Bank Group) ที่ได้ริเริ่มเมื่อปี 2566 โดยการวิวัฒน์ธนาคารโลกมีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
- การปฏิรูปโครงสร้างการดำเนินงานของธนาคารโลก
- การเพิ่มขีดความสามารถในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิก
- การรักษาระดับความมั่นคงทางการเงิน
- การส่งเสริมการระดมทุนจากภาคเอกชน
- การพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน
2. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าของการวิวัฒน์ธนาคารโลก จากประธานธนาคารโลกว่า ธนาคารโลกได้ดำเนินการเพื่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของธนาคารโลกอย่างเข้มแข็งผ่าน Environmental and Social Framework (ESF) และมีเครื่องมือเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อวิกฤติ หรือ Global Challenge Programs (GCP)
นอกจากนี้ ยังมีห้องปฏิบัติการการลงทุนภาคเอกชน หรือ Private Sector Investment Lab (PSIL) เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดความยากจนขั้นรุนแรง ความไม่เท่าเทียม และรับมือกับความท้าทายระดับโลก
3. ที่ประชุมฯ ได้สนับสนุนการปรับรูปแบบการบริหารองค์กรของธนาคารโลกเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤติและความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญ และเรียกร้องให้ธนาคารโลกปรับปรุงกระบวนการอนุมัติโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินของประเทศสมาชิกให้รวดเร็ว เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการบูรณาการการดำเนินงานอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนจากภาคเอกชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ำถึงการสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างธนาคารโลกและประเทศสมาชิกเพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สงคราม และความขัดแย้งทางการเมือง
ขณะเดียวกัน ในห้วงการประชุม Spring Meetings ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับผู้แทนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Moody’s และ S&P ในประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินการคลังของประเทศไทยและนโยบายการคลังในระยะปานกลาง
รวมทั้ง ได้มีการหารือทวิภาคีกับผู้แทนจาก Fiscal Affairs Department ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในประเด็นการให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาขีดความสามารถ (Capacity Development) แก่ประเทศสมาชิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการคลังและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานภาครัฐ และได้เข้าร่วมการประชุมรายงานเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
โดยมีรายงานว่าแม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2567–2568 จะยังเติบโตค่อนข้างต่ำ แต่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะยังคงสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจโลกกว่า 60%
นอกจากนี้ยังได้มีการหารือกับผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในประเด็นความร่วมมือเพื่อการเตรียมการในการประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปี 2569 ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพต่อไป
อนึ่ง การประชุม Spring Meetings เป็นเวทีที่มีความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังและด้านวิชาการระหว่างธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประเทศไทย และประเทศสมาชิกของธนาคารโลก 189 ประเทศ และเป็นโอกาสอันดีในการหารือกับผู้แทนจากประเทศสมาชิก สถาบันการเงิน และองค์กรการเงินระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสามารถเป็นศูนย์กลางของความเติบโตอย่างยั่งยืนที่สำคัญต่อไปได้ในอนาคต