กินทุเรียนยาวถึง ก.ย.ผล โลกร้อนทำติดดอกหลายรุ่น
นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ จันทบุรี 27 เม.ย. นี้ ทวนสอบทุเรียนก่อนส่งออก ขณะโลกร้อนทำติดดอกหลายรุ่น ออกสู่ตลาดยาวถึง ก.ย. มากสุด เดือนหน้า และราคาแพง
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า เนื่องจากทุเรียนเป็นไม้ผลทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการรักษาคุณภาพมาตรฐานจึงเป็นเรื่องสำคัญ และ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยกระดับความเข้มข้นในการตรวจสอบก่อนส่งออกโดยจะลงพื้นที่ติดตามในพื้นที่จ.จันทบุรี ในวันที่ 27 เม.ย.นี้
สำหรับสถานการณ์ทุเรียนโดยปกติแล้วจะออกสู่ตลาดพร้อมกัน และมากที่สุดในช่วงเดือน เม.ย. ของทุกปี แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อน ได้ส่งผลกระทบต่อการติดดอกออกผลของทุเรียน ในปี 2567 การติดดอกล่าช้า ทำให้ผลผลิตเลื่อนออกสู่พร้อมกันจำนวนมากเป็นเดือน พ.ค. ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเตรียมรับมือและแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ คือมาตรการตรวจก่อนตัด เพื่อควบคุมและป้องกันไม่ให้มีทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด
โดยกำหนดระดับความอ่อนแก่ของทุเรียน ด้วยวิธีการตรวจสอบเปอร์เซ็นต์น้ำหนักเนื้อแห้งของทุเรียน สอดคล้องตามค่ามาตรฐานสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จากการดำเนินการตลอดเดือน เม.ย. พบว่า วิธีการดังกล่าวได้รับความสนใจจากเกษตรกรมาก ล่าสุดได้นำทุเรียนมาตรวจ 8,400 ตัวอย่าง ไม่ผ่านการตรวจสอบ 23 %
ทุเรียนที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จะรับใบรับรองว่าผ่านการตรวจสอบพร้อมกับให้เกษตรกรสลักหลัง ระบุวันเก็บเก็บเกี่ยว รายชื่อผู้สั่งซื้อ การสงมอบ และทะเบียนรถขนส่ง เพื่อนำใบรับรองนี้ใช้แนบกับใบรับรองการเพาะปลูกที่ดีและเหมาะสม หรือGAPของกรมวิชาการเกษตร วิธีการนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรมากยิ่งขึ้นว่าจะผ่านการตรวจสอบ GAP 100 %
ทั้งนี้การ กำหนดค่าเฉลี่ยของเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนขั้นต่ำสำหรับการบริโภคจะแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ คือ พันธุ์กระดุม ไม่น้อยกว่า 27 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้ง เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. พันธุ์ชะนี ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้ง พันธุ์พวงมณี ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้ง เก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. และ พันธุ์หมอนทอง ไม่น้อยกว่า 32 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งเก็บเกี่ยวได้ ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนต่ำกว่านี้ ถือว่าเป็นทุเรียนอ่อน
“ ราคาที่เกษตรกรจำหน่ายทุเรียน ณ หน้าสวน ( วันที่ 24 เม.ย. ) อยู่ที่กิโลกรัมละ 211 บาท ถือว่าเป็นระดับที่สูงและทำกำไรให้กับเกษตรกรได้ดี คุ้มค่ากับการลงทุน แม้ผลผลิตทุเรียนจะล่าช้าไป 1 เดือน แต่ มีข้อดีที่เป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนคือ การติดดอกที่กระจายตัว ทำให้ปีนี้ทุเรียนจะออกสู่ตลาดหลายรุ่น ได้ราคาดี ในขณะที่ผลผลิตปีนี้มีน้อยกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 5 พันตัน “
นางสาวนริศรา เอี่ยมคุ้ย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 ชลบุรี (สศท.6) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ผลการพยากรณ์ไม้ผลภาคตะวันออก ปี 2567ไม้ผล 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง ในพื้นที่ 3 จังหวัด ระยอง จันทบุรี ตราด สรุปปี 2567 ปริมาณผลผลิตรวม ทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 1,114,070 ตันเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 1,046,254 ตัน หรือ 6.48% โดยมังคุดเพิ่มขึ้นมากที่สุด 42% รองลงมาเงาะเพิ่มขึ้น 8%ลองกองเพิ่มขึ้น 3 %และทุเรียนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1%
ซึ่งผลผลิตรวมของไม้ผลทั้ง 4 ชนิดเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศปีนี้มีความเหมาะสมต่อการออกดอกและติดผลของมังคุด เงาะ ลองกอง จากการได้พักต้นสะสมอาหาร ซึ่งปีที่ผ่านมาออกดอกติดผลน้อย ส่วนทุเรียนผลผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากอัตราเนื้อที่ให้ผลทุเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราการลดลงของผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ซึ่งเนื้อที่เริ่มให้ผลผลิตในปี 2567 ได้เป็นปีแรกเพิ่มขึ้นกว่า 38,000 ไร่
สำหรับเนื้อที่ยืนต้นผลไม้ 4 ชนิดภาคตะวันออก รวม 950,614 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 910,872 ไร่ เพิ่มขึ้น 4.36% เนื้อที่ให้ผลรวม 680,949 ไร่ เพิ่มขึ้น 3.70% ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 1,636 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 2.70% มีปริมาณผลผลิตรวม 1,114,070 ตัน เพิ่มขึ้น 6.48% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผลของไม้ผล จึงได้พักต้นสะสมอาหารทำให้ปีนี้ออกดอกติดผลเพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุเรียนที่ปลูกในระยะหลายปีที่ผ่านมาเริ่มให้ผลผลิตเป็นปีแรกเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในทั้ง 3 จังหวัด ทำให้ภาพรวมผลผลิตรวมของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
แต่จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ/อากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตปีนี้จะมีหลายรุ่น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตของไม้ผล 3 จังหวัดภาคตะวันออก รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอตลอดฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับการกระจายตัวของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด เริ่มทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย. โดยจะออกกระจุกตัวสูงสุดในเดือนพ.ค. 2567 คิดเป็น 51%ของผลผลิตทั้งหมด