รัฐไม่ปิดทางแก้ กฎหมายลดอิสระ ’แบงก์ชาติ‘ แต่ขอใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย!
รัฐบาลหาช่องทางคุยแบงก์ชาติ จูนนโยบายมุ่งสร้างเศรษฐกิจเติบโต ไม่ตัดช่องทางไม้แข็ง แก้ พ.ร.บ.แบงก์ชาติลดความเป็นอิสระ แต่รับต้องใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย ด้าน “พิชัย”ที่ปรึกษานายกฯ หนุนแนวทางทำงานร่วมกันระหว่างธปท.-รัฐบาล มุ่งประโยชน์ประเทศ-ประชาชนเป็นสำคัญ
ส่วนการแก้กฎหมายเพื่อลดความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ขอใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย รับมีแรงกดดันทางสังคม เตรียมหาช่องทางพูดคุยกับแบงก์ชาติมากขึ้น ปรับจูนเป้าหมายนโยบายการเงินช่วยหนุนเศรษฐกิจ “พิชัย” ชี้ค่าเงินบาทหนุนศก. จี้ลดดอกเบี้ยช่วยศก.หากลด 0.25% จะลดภาระได้กว่า 7 หมื่นล้านจากหนี้รัฐ-เอกชน ลดลง
ตลอดระยะเวลา 8 เดือน บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน มีประเด็นที่เห็นแตกต่างจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ว่าจะเป็นโครงการเงินดิจิทัล การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การส่งความเห็นไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่างๆของ ธปท. ซึ่งบ่อยครั้งที่มีการย้ำว่าความเป็นอิสระของ ธปท.ต้องไม่อยู่บนความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งล่าสุดมีการแสดงความเห็น ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2567
โดยเห็นว่ากฎหมายพยายามให้ ธปท.เป็นอิสระจากรัฐบาล จนเป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นทุกปี จากการที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุล รวมทั้งเห็นว่านโยบายการเงินที่บริหารโดย ธปท.ไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ จะทำให้ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานหนี้ลงมาได้
นอกจากนี้เป้าหมายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลและ ธปท.แตกต่างกัน โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายในช่วง 4 ปี เศรษฐกิจจะต้องเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ในขณะที่ ธปท.ประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ขยายตัว 2.5-3.0% จนมีคำถามว่าอาจจะมีการแก้กฎหมายหรือ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อลดความเป็นอิสระของ ธปท.ลง
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าแนวคิดการแก้ พ.ร.บ.ของธปท.นั้นรัฐบาลยังไม่ได้มองถึงการแก้กฎหมายที่กำกับดูแลการทำงานของ ธปท. เพื่อลดความเป็นอิสระของ ธปท.ลง โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้กฎหมายก็จะทำเป็นทางเลือกสุดท้าย เนื่องจากเข้าใจว่าการแก้กฎหมายที่จะไปกระทบความเป็นอิสระของ ธปท.ก็อาจจะกระทบกับความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลได้เช่นกัน และหากจะแก้กฎหมายสังคมต้องเห็นด้วยในเรื่องนี้ถึงจะสามารถดำเนินการได้ แต่รัฐบาลยอมรับว่าต้องการให้ธปท.ใช้ความเป็นอิสระเพื่อช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นเป้าหมายของรัฐบาลด้วยไม่ใช่การตัดสินใจโดยแยกออกจากการทำงานของรัฐบาล
ทั้งนี้แนวทางที่รัฐบาลจะพยายามทำต่อไปก็คือการพูดคุยกันระหว่างรัฐบาลและธปท.ให้มากขึ้น เพื่อปรับความคิดให้ตรงกันโดยเฉพาะเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่จะมาช่วยลดความเดือดร้อนของ ธปท.โดยขณะนี้ยังเชื่อว่าหากสามารถพูดคุยกับ ธปท.โดยเฉพาะการพูดคุยกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธินาทนฤพุฒิ ผู้ว่า ธปท.อย่างต่อเนื่องก็จะเห็นทิศทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้ในทิศทางเดียวกันโดยไม่ต้องมีการแก้กฎหมายแต่อย่างใด
"พิชัย" หนุนรัฐบาล - ธปท.ทำงานร่วมกัน
เกี่ยวกับการทำงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตร่วมกันระหว่างรัฐบาล และธปท.นั้น นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่าแนวทางการบริหารเศรษฐกิจจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจกันระหว่างรัฐบาลและธนาคารกลาง ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นธนาคารกลางและรัฐบาลประเทศไหนออกมาตอบโต้กัน
ทั้งนี้ ความเป็นอิสระของธปท.นั้นรัฐบาลเข้าใจ และเห็นถึงความสำคัญแต่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ จะยืนยันแค่ความเป็นอิสระเพื่อเอาไว้ตอบโต้กับรัฐบาลแบบนี้คงไม่เหมาะสม เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ได้ดีมีการเติบโตได้น้อยมากรัฐบาลและ ธปท.ควรจะมีการหารือและทำงานร่วมกันเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้มากขึ้น
ยันลดดอกเบี้ยช่วยเศรษฐกิจประชาชนได้มาก
นายพิชัย ยืนยันด้วยว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้ถือว่ามีความจำเป็น ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยเหลือประชาชนได้แน่นอน และการลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้า โดยการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% นั้นสามารถช่วยลดหนี้สินของประชาชน หนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ 16 ล้านล้านบาทได้กว่า 4.05 หมื่นล้านบาท ขณะที่หนี้ภาครัฐที่มีอยู่กว่า 11 ล้านล้านบาท ก็จะสามารถลดลงได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท รวมแล้วเป็นผลดีกับระบบเศรษฐกิจกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
นอกจากนี้การลดดอกเบี้ยลงธปท.ไม่ควรกังวลเรื่องของค่าเงินบาทที่จะอ่อนเพราะตอนนี้หลายประเทศค่าเงินอ่อนกว่าไทย เช่น มาเลเซีย และอินโดนิเซีย ที่ค่าเงินอ่อนไปกว่าตอนที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ว่ายังสามารถมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทย ซึ่งนโยบายที่ผ่านมาของ ธปท.ก็ต้องยอมรับว่ามีความผิดพลาดที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายด้วย
“ตอนนี้มีกระแสเหมือนว่าใครชอบแบงก์ชาติ หรือรัฐบาล หรือว่าใครเป็นพวกใคร ซึ่งที่จริงแล้วตรงนั้นมั้นไม่ใช่สาระสำคัญ ที่ถูกต้องคือทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องมาทำงานร่วมกันให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และลดความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งแบงก์ชาติก็ต้องไม่ใช่แค่มองว่าเศรษฐกิจปีนี้โต 2.4% แล้วปีหน้าโตได้ 3% แค่นี้พอแล้ว แบบนี้เศรษฐกิจของไทยก็ไม่มีทางที่จะเติบโตจนสามารถเป็นประเทศรายได้สูงได้หากยังคาดหวังการเติบโตเพียงเท่านี้” นายพิชัย กล่าว