‘สภาพัฒน์’ หนุนฟื้น ‘กองทุนLTF’ ชี้ช่วยหนุนตลาดทุน – เพิ่มการออมประชาชน  

‘สภาพัฒน์’ หนุนฟื้น ‘กองทุนLTF’  ชี้ช่วยหนุนตลาดทุน – เพิ่มการออมประชาชน  

“สภาพัฒน์” หนุนฟื้นกองทุน LTF ชี้ช่วยหนุนตลาดหุ้น - การออมประชาชน แต่แนะทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหารือเรื่องการลดหย่อนภาษีให้เหมาะสม ไม่กระทบการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ความเห็นถึงกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังมีการ พิจารณานำเอากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)  กลับมาในตลาดหุ้นอีกครั้งเพื่อส่งเสริมการลงทุนว่าในเรื่องนี้เป็นแนวความคิดที่ถือว่าส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย และช่วยส่งเสริมการออมของประชาชนได้ด้วย

ซึ่งสิ่งที่ต้องมีการพิจารณาคือเรื่องของสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งในส่วนนี้ต้องมาดูว่าอัตราที่เหมาะสมคือเท่าไหร่ เพราะหากมีการลดหย่อนมากเกินไปก็จะกระทบกับภาษี และจะกระทบกับการจัดเก็บรายได้ที่ลดลง ซึ่งการลดหย่อนไม่ควรจะมีการซ้ำซ้อนด้วย

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องดูว่าเมื่อออกมาต้องมานั่งคิดกันในฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจะให้ลดหย่อนภาษีได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐด้วย” นายดนุชา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุน LTF คือ กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดเสถียรภาพในระบบตลาดทุนไทย ซึ่งเงินลงทุนใน LTF สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทิน

‘สภาพัฒน์’ หนุนฟื้น ‘กองทุนLTF’  ชี้ช่วยหนุนตลาดทุน – เพิ่มการออมประชาชน  

ทั้งนี้ การซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2562 ปัจจุบันมีกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) มาแทน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา

โดยที่ผ่านมามีแนวคิดให้มีการนำกองทุน LTF กลับมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสร้าความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทยอีกครั้งเนื่องจากมีระยะเวลาการถือครองที่สั้นกว่า SSF คือถือครองเพียง 7 ปีปฏิทิน ในขณะที่ SSF ต้องถือครอง 10 ปีนับจากวันที่ซื้อกองทุน นอกจากนี้ LTF ยังให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน และกำหนดเพดานไม่เกิน 500,000 บาท ขณะที่ SSF กำหนดลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน และกำหนดเพดานลดหย่อนไว้ไม่เกิน 200,000  บาท เป็นต้น