ธรรมนัส ลงพื้นที่สุราษฎร์ฯ ด่วน ถกทางแก้ราคาปาล์มดิบตกต่ำ
กระทรวงเกษตรฯ ยกทีม ลงพื้นที่ สุราษฎร์ธานี 29 พ.ค.นี้ ถกปัญหาราคาปาล์มดิบตกต่ำ ลั่นไม่ใช้สต๊อกล้น ปาล์มเพื่อนบ้านไม่ทะลัก ความร้อนไม่มีผลให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันลดลง จี้ผู้ประกอบการไบโอดีเซล ซื้อ บีร้อยตามราคาประกาศ มั่นใจกู้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติในเร็วๆ นี้
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ กระทรวงเกษตรฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ ในจังหวัด สุราษฎร์ธานี เพื่อหารือกับเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน กรณีราคาสถานการณ์ราคาตกต่ำ โดยในเบื้องต้น ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (วันที่ 27 พ.ค.) ได้หารือเรื่องนี้และกำหนด 6 มาตรการแก้ไขปัญหา ไปแล้ว แต่เพื่อให้เป็นผลทางปฏิบัติ ทำให้ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่แท้จริง แล้วนำมาประกอบกับการแก้ปัญหาที่ถูกจุด
“ ทางกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ตั้งข้อสังเกตในปัญที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ หรือซีพีโอ ปัจจุบันยังไม่เต็มเพดานที่กำหนดไว้ อยู่ที่ประมาณ 2 แสนตัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ราคาผลปาล์มตกต่ำขนาดนี้ การหารือกับเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน คาดว่าจะทราบเหตุผลจริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ส่วนกรณีการนำซีพีโอ ไปใช้เป็นพลังงานไบโอดีเซล นั้นยังพบว่าผู้ประกอบการไม่ซื้อตามราคาที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงานประกาศ ตามมาตรา 7 หรือบีร้อย โดยมีการซื้อในราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ราคาดังกล่าวลดทอนราคาปาล์มดิบที่เกษตรกรได้รับไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รับที่จะนำไปเจรจาผู้ประกอบการ ให้ซื้อในราคาที่ประกาศ โดยเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาแรกที่สามารถทำได้เลย
“ ทั้ง 6 มาตรการแก้ไขปัญหาต้องดำเนินควบคู่กันไป เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา ให้กับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ที่ทำได้เร็ว คือ การควบคุมราคาไบโอดีเซล สมมติว่าประกาศที่ลิตรละ 30 บาทจะต้องซื้อ 30 บาทไม่ใช่ซื้อ 26 บาท นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯยังให้ความเข้มงวดเรื่องการป้องกันการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นอีกสาเหตุที่จะส่งผลให้ราคาปาล์มดิบในประเทศตกต่ำ “
อย่างไรก็ตามต้องรับฟังเหตุผลจากกลุ่มโรงสกัดและลานเท ด้วย เนื่องจากมีหลายฝ่ายระบุว่า เกษตรกรเร่งตัดปาล์มดิบออกขายเพราะกังวลว่าทิ้งไว้ราคาจะยิ่งตกต่ำ ทำให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันมีน้อยไม่เป็นไปตามที่กำหนด ในกรณีนี้เกษตรกรต้องแก้ไขและขายปาล์มดิบที่มีคุณภาพเท่านั้น และมั่นใจได้ว่าเมื่อทุกฝ่ายช่วยกัน ราคาปาล์มจะเข้าสู่ภาวะปกติในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่า ในที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งข้อสังเกตุว่า สาเหตุที่ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำในขณะนี้ เป็นผลจากการกดราคาของกลุ่มโรงสกัด และลานเท โดยวิเคราะห์จากข้อมูลเบื้องต้นตามที่ ทางโรงสกัดแจ้งว่า การรับซื้อในราคาต่ำเนื่องจากสภาวะอากาศร้อนทำให้เปอร์เซนต์ น้ำมันต่ำกว่ามาตรฐานการรับซื้อที่ 18 % ต่อกิโลกรัมโดยสกัดได้ที่ 13-14 % เท่านั้น
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา และสถานการณ์ปาล์มของมาเลเซียที่มีสภาวะอากาศร้อนเช่นกัน พบว่าเปอร์เซ็นต์น้ำมันไม่ได้ปรับลดลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ตามกฎหมายแล้ว หากเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มดิบไม่ถึง 18 % ทางลานเท และโรงสกัดจะไม่รับซื้อ
สำหรับเหตุผลที่อ้างว่า ในช่วงเดือน เม.ย- พ.ค. ของทุกปี ผลผลิตปาล์มน้ำมันจะออกสู่ตลาดมาก หรือเป็นช่วงพีค ทำให้ราคาปาล์มตกต่ำนั้น เมื่อวิเคราะห์ดูผลผลิตที่ออกสู่ตลาด 1.7 ล้านตันต่อเดือน พบว่าในอดีตที่ผ่านมายังเคยออกสู่ตลาดมากกว่านี้ ไม่มีผลต่อราคาปาล์มดิบตกต่ำใกล้เคียงต้นทุนการผลิตที่ 3.30- 3.40 บาท ซึ่งปัจจุบันทางลานเทและโรงสกัดรับซื้อที่ กิโลกรัมละ 3. 60 -3.80 บาท ต่ำกว่าโครงการประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาลชุดที่ผ่านที่ กิโลกรัมละ 4 บาท
“กรณีลานเท และโรงสกัด กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแล เรื่องการรับซื้อปาล์มทะลายและลูกร่วง ที่มีราคาต่างกัน ตามกฎหมาย จะห้ามแยกขาย ในขณะที่ราคาปาล์มในตลาดโลกยังไม่ตกต่ำ มั่นใจไม่มีปาล์มเพื่อนบ้านทะลัก “
รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) แจ้งว่า สถานการณ์ปาล์มน้ำมันปี 2567 เนื้อที่ให้ผลภาพรวมทั้งประเทศคาดว่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคใต้ เนื่องจากปาล์มน้ำมันที่ปลูกใหม่เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นการปลูก แทนยางพารา ในพื้นที่นาและพื้นที่รกร้าง เริ่มให้ผลผลิตได้ในปีนี้ ซึ่งการขยายเนื้อที่ปลูกปาล์มน้ำมันเมื่อปี 2564 มีสาเหตุมาจากราคา อยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ ให้ผลและผลผลิตรวมทั้งประเทศคาดว่าลดลง เนื่องจากในช่วงปลายปี 2565 จนถึง พฤษภาคม 2566 ต้นปาล์ม ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอ ทำให้ทางใบบางส่วนพับ ต้นปาล์ม ไม่สมบูรณ์ การออกทะลายที่จะเก็บในปี 2567 ลดลง และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 จนถึงต้นปี 2567 ปรากฏการณ์เอลนีโญมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักต่อทะลายลดลง คาดว่าผลผลิตโดยรวมจะมีประมาณ 18,120,766 ตัน ลดลง 0.80%เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากเนื้อที่ให้ผล รวม 6,381,105 ไร่