‘แผนการคลังใหม่’ เดิมพัน ‘เศรษฐกิจไทย’ กู้เพิ่ม – หั่น GDP - หนี้สาธารณะพุ่ง
มองเศรษฐกิจไทยผ่านแผนการคลังปานกลาง 2568 - 2571 ฉบับทับทวนครั้งที่ 2 รัฐบาลเศรษฐา หลังกู้เพิ่ม 1.12 แสนล้านบาททำงบฯกลางปี 67 เตรียมแหล่งเงินแจกดิจิทัลวอลเล็ต ปรับลดจีดีพีตลอดแผนเหลือโตได้ 3% การขาดดุลงบประมาณยังสูง ดันหนี้สาธารณะทะลุ 68% พื้นที่การคลังเหลือน้อยมาก
KEY
POINTS
- รัฐบาลปรับแผนการคลังระยะปานกลาง 2568 - 2571 เป็นครั้งที่ 2 เพื่อรองรับการตั้งงบฯกลางปี 67 เพิ่ม 1.22 แสนล้านบาท โดยเพิ่มการกู้ขาดดุลอีก 1.12 แสนล้านบาท
- การปรับแผนการคลังทั้งสองครั้งเป็นการตั้งงบฯเพิ่มเติมสำหรับการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
- การขาดดุลงบประมาณเพิ่มรวมทั้งการตั้งงบฯเพิ่มเติม ยิ่งทำให้ระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2571 หนี้สาธารณะไทยจะขยับไปสูงกว่า 68% ซึ่งทำให้พื้นที่การคลังไทยเหลือไม่ถึง 2% หากวัดจากเพดานที่ 70% ซึ่งไม่เพียงพอหากเกิดวิกฤติขนาดใหญ่ที่กระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง
ตามกฎหมายพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดไว้เป็นกฎหมายว่าให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่ง รวมทั้งมีคณะกรรมการจากหน่วยงานเศรษฐกิจ 4 หน่วยงานหลักได้แก่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทหลักในการวางแผนการเงินการคลัง และงบประมาณของรัฐ
รวมทั้งจัดทำแผนแม่บทหลักสำหรับการวางแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งการทำแผนการคลังระยะปานกลางต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีเพื่อให้เห็นถึงทิศทางการบริหาร “การคลัง” ของประเทศที่มีความต่อเนื่องไปอย่างน้อย 3 ปีงบประมาณ
ปรับแผนการคลังปานกลางแล้ว 2 ครั้ง
ตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศของ “รัฐบาลเศรษฐา” ประมาณ 10 เดือน มีการแก้ไขแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 - 2571) ไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกที่มีการแก้ไขแผนการคลังระยะปานกลางเนื่องจากรัฐบาลมีการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณในปี 2568 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบประมาณขาดดุลฯไว้ 7.13 แสนล้านบาท รวมเป็นการขาดดุลงบประมาณปี 2568 วงเงิน 8.6 แสนล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการขาดดุลฯเพื่อรองรับการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ขณะที่การแก้ไขแผนการคลังระยะปานกลางครั้งที่ 2 มาจากสาเหตุหลักคือการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 (งบฯกลางปี 67)วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท โดยเป็นการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลืออีก 1.12 แสนล้านบาท เป็นการกู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม โดยการจัดทำงบฯกลางปี 2567 ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)แล้วและมีกำหนดที่จะนำ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมปี 2567 เข้าสภาฯวาระที่ 17 – 18 ก.ค.นี้
ตั้งงบฯกลางปี 67 ขาดดุลงบฯเพิ่มปี 68
ทั้งนี้จะเห็นว่าทั้งการตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2568 และการทำงบฯกลางปี 2567 เพิ่มเติมรวมกันกว่า 2.72 แสนล้านบาทเพื่อนำเม็ดเงินที่ได้ในส่วนนี้มาใช้เพื่อรองรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยแจกเงิน 1 หมื่นบาทในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล จากวงเงินโครงการนี้ทั้งหมด 5 แสนล้านบาท
แม้ว่าในการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลางในส่วนของแนวนโยบายภาครัฐยังคงเน้นในเรื่องของการเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลัง โดยยังคงยึดหลักแนวคิด “Revival” ที่มุ่งเน้นสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสังคมของประเทศเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยต้องคำนึงถึง “การรักษาวินัยการเงินการคลัง” (Fiscal Discipline) อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation ) ผ่านการสร้างความเข้มแข็งด้านการคลังในด้านต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็น ความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และความครอบคลุมจากทุกแหล่งเงินในการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษีให้มีเพียงเท่าที่จำเป็นการปฏิรูปโครงสร้าง และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดการขาดดุลการคลังและสร้างกันชนทางการคลัง (Fiscal Buffer) ในการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบายที่จำเป็น ( Policy Space) ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป
จีดีพีไทยโตไม่ถึง 5%
ทั้งนี้ในการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางระหว่างปี 2568 – 2571 รัฐบาลยังใช้งบประมาณแบบขาดดุลเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ซึ่งเมื่อรวมกับการตั้งงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมทำให้การขาดดุลงบประมาณปรับเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งปกติแล้วการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรมีการปรับเพิ่มจีดีพีเพิ่ม แต่ในแผนการคลังฉบับนี้ได้มีการปรับลดจีดีพีใหม่โดยปรับลดลงจากเดิมทุกปี และจากประมาณการเศรษฐกิจ
ในส่วนนี้จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวไม่ถึง 5% และ ยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพเศรษฐกิจที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มองว่าเศรษฐกิจไทยควรขยายตัวได้ 3.5 – 4% โดยการคาดการณ์จีดีพีตามแผนนี้ ได้แก่
- ปี 2567 เดิมอยู่ที่ 2.7% ลดลงเหลือ 2.5%
- ปี 2568 เดิมอยู่ที่ 3.3% ลดลงเหลือ 3.0%
- ปี 2569 - 2570 เดิมอยู่ที่ 3.3% ลดลงเหลือ 3.2% ปี 2571 - 2572 เดิมอยู่ที่ 3.2% ลดลงเหลือ 3%
ในส่วนของการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณพบว่ายังสูงกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดว่าควรจะอยู่ต่ำกว่า 3%ต่อจีดีพี โดยข้อมูลการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปีของแผนการคลังระยะปานกลางได้แก่
- ปี 2567 ขาดดุลงบประมาณ เพิ่มขึ้นอีก 112,000 ล้านบาท ทำให้ขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 805,000 ล้านบาท (จากเดิมขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 6.93 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 4.3% ต่อจีดีพี
- ปี 2568 ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 865,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.5% ต่อจีดีพี
- ปี 2569 ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 703,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.5% ต่อจีดีพี
- ปี 2570 ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 693,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.3 % ต่อจีดีพี
- ปี 2571 ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 683,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.1% ต่อจีดีพี
ในส่วนของรายได้และรายจ่ายภาครัฐตลอดแผนการคลังระยะปานกลาง มีรายละเอียดดังนี้
- ปี 2567 ประมาณการรายได้ 2,797,000 ล้านบาท รายจ่าย 3,602,000 ล้านบาท
- ปี 2568 ประมาณการรายได้ 2,887,000 ล้านบาท รายจ่าย 3,752,700 ล้านบาท
- ปี 2569 ประมาณการรายได้ 3,040,000 ล้านบาท รายจ่าย 3,743,000 ล้านบาท
- ปี 2570 ประมาณการรายได้ 3,204,000 ล้านบาท รายจ่าย 3,897,000 ล้านบาท
- ปี 2571 ประมาณการรายได้ 3,394,000 ล้านบาท รายจ่าย 4,077,000 ล้านบาท
หนี้สาธารณะทะลุ 68% ในปี 71 ปริ่มเพดานหนี้
ขณะที่ข้อมูลหนี้สาธารณะและระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในแผนการคลังระยะปานกลางฉบับนี้จะเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่ากังวลเพราะใกล้กับระดับเพดานที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 70% ของจีดีพี โดยระดับหนี้สาธารณะในแต่ละปี ดังนี้
- ปี 2567 หนี้สาธารณะคงค้าง อยู่ที่ 18,513,465 ล้านบาท คิดเป็น 65.7% ต่อจีดีพี
- ปี 2568 หนี้สาธารณะคงค้าง อยู่ที่ 19,289,179 ล้านบาท คิดเป็น 67.9% ต่อจีดีพี
- ปี 2569 หนี้สาธารณะคงค้าง อยู่ที่ 20,178,411 ล้านบาท คิดเป็น 68.8% ต่อจีดีพี
- ปี 2570 หนี้สาธารณะคงค้าง อยู่ที่ 21,154,239 ล้านบาท คิดเป็น 68.9% ต่อจีดีพี
- ปี 2571 หนี้สาธารณะคงค้าง อยู่ที่ 22,175,989 ล้านบาท คิดเป็น 68.6% ต่อจีดีพี
ทั้งนี้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้นทุกปี ถือว่าเป็นความท้าทายสำคัญต่อกรอบความยั่งยืนทางการคลัง เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีใกล้กับระดับ 70% อย่างมาก ต่างจากก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ประเทศไทยในขณะนั้นมีหนี้สาธารณะต่ำมากแค่เพียง 40% ต่อจีดีพีเท่านั้น
พื้นที่การคลังเหลือน้อยจนน่ากังวล
ในสถานการณ์ปัจจุบันหากรัฐบาลยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้น จีดีพีโตขึ้น หรือลดรายจ่ายภาครัฐเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณาลง ก็มีความเสี่ยงที่ไทยต้องขยับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จากระดับ 70% ในปัจจุบันเนื่องจากหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงจนเกือบชนเพดาน
ประเทศไทยจึงอยู่ในภาะความเสี่ยงที่พื้นที่ทางการคลังเหลือน้อยมาก และอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับวิกฤติและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากระดับหนี้สาธารณะของประเทศสูงเกินไปก็จะส่งผลต่อต้นทุนในการระดมทุน กู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรทั้งของภาครัฐและเอกชน เป็นต้น